โรคไข้หวัดใหญ่ เป็นโรคติดเชื้ออันดับต้นๆ ของประเทศไทย จากข้อมูลจากกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พบว่า ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 – 16 สิงหาคม 2568 มีจำนวนผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่สะสมถึง 453,629 ราย คิดเป็นอัตราป่วย 698.83 ต่อประชากรแสนคน มีจำนวนเป็นอันดับ 2 รองจากโรคโควิด19 โดยกลุ่มอายุที่มีอัตราป่วยมากที่สุดคือ 5-9 ปี รองลงมาคือ 0-4 ปี และ 10-14 ปี ส่วนสายพันธุ์ที่ตรวจพบมากสุดคือ A/H1N1 (pdm09) และคาดการณ์ว่าจนถึงสิ้นปี 2568 จะมีผู้ป่วยสูงถึงกว่า 9 แสนราย
พญ.สุรางคณา เตชะไพฑูรย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มโรงพยาบาลสมิติเวช และโรงพยาบาลบีเอ็นเอช และผู้อำนวยการ โรงพยาบาลเด็กสมิติเวช อินเตอร์เนชั่นแนล เปิดเผยว่า โรงพยาบาลเด็กสมิติเวช อินเตอร์เนชั่นแนล มุ่งมั่นดูแลสุขภาพเด็กไทยอย่างครบวงจร เราอยากเห็นเด็กโตไปสุขภาพดี #โตไปไม่ป่วย โดยเฉพาะการป้องกันโรคติดเชื้อที่เป็นปัญหาสำคัญในสังคมอย่าง ‘ไข้หวัดใหญ่’ เพราะไม่ใช่แค่ไข้หวัดธรรมดา อาการอาจรุนแรง และมีความเสี่ยงเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดบวม หรือไข้สมองอักเสบ กิจกรรมในวันนี้มีเป้าหมายให้ความรู้เกี่ยวกับโรคและนวัตกรรมการป้องกันไข้หวัดใหญ่ เพื่อลดการแพร่ระบาดและลดความรุนแรงของโรค รวมทั้งสร้างความตระหนักให้ครอบครัวรู้วิธีป้องกันโรค ด้วยการดูแลสุขอนามัยและการรับวัคซีนที่เหมาะสม
“สิ่งเหล่านี้ช่วยลดความรุนแรงของโรคและยกระดับคุณภาพชีวิตของเด็กและครอบครัวไทยให้แข็งแรงอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ทางโรงพยาบาลยังเน้นย้ำเรื่อง Early Care รู้ทันก่อนเกิดโรค และ Prevention ลดความเสี่ยงการเกิดโรคต่างๆ เพราะเราเชื่อว่าการป้องกัน ดีกว่าการเสียเงินเพื่อการรักษา” พญ.สุรางคณา กล่าว
ศ. นพ.ชิษณุ พันธุ์เจริญ กุมารแพทย์ด้านโรคติดเชื้อ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย กล่าวว่า ช่วงปลายฝนต้นหนาวอย่างในขณะนี้ เป็นอีกหนึ่งช่วงที่โรคไข้หวัดใหญ่ระบาด โดยเฉพาะกลุ่มเด็กและวัยรุ่น ซึ่งอยู่ในวัยศึกษาในเนิร์สเซอรี่และโรงเรียน มีโอกาสสูงที่จะแพร่กระจายเชื้อไปสู่คนในครอบครัวได้ โดยอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนถึงชีวิตได้ ในประเทศไทยเมื่อปี 2567 มีเคสเด็กอายุ 7 ขวบเป็นไข้หวัดสายพันธุ์ A ขึ้นสมองเฉียบพลัน ทำให้เป็นไข้สมองอักเสบเกิดขึ้นมาแล้ว ซึ่งการป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ ป้องกันได้ง่ายๆ ทั้งการล้างมือบ่อยๆ ปิดจมูกและปากเมื่อไอหรือจามหรือขณะอยู่ในที่สาธารณะ และการได้รับวัคซีนอย่างเหมาะสม
“ซึ่งทางองค์การอนามัยโลกแนะนำให้รับวัคซีนป้องกันไวรัสไข้หวัดใหญ่อย่างต่อเนื่องทุกปี ในขณะที่ประเทศไทยมีเพียง 12-15% เท่านั้น ที่รับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ จึงอยากเชิญชวนให้นำบุตรหลานและทุกคนในครอบครัวมารับวัคซีนกัน ไม่ว่าจะเป็น ‘วัคซีนแบบฉีด’ และ ‘วัคซีนแบบพ่นจมูก’ ซึ่งเป็นทางเลือกใหม่ล่าสุดที่เพิ่งนำมาใช้ในประเทศไทย”
ศ. นพ.ชิษณุ กล่าว
ด้าน พญ.วิริยาภรณ์ จันทร์รัชชกูล กุมารแพทย์ด้านโรคติดเชื้อ โรงพยาบาลเด็กสมิติเวช อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า “เพราะไข้หวัดใหญ่ไม่ใช่แค่ไข้หวัดธรรมดา หากมีอาการรุนแรงแล้วตอนนั้นลูกน้อยอยู่ในช่วงที่ร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่ำ หรือพักผ่อนไม่เพียงพอ อาจทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนอย่างหูชั้นกลางอักเสบ ไซนัสอักเสบ หรือรุนแรงจนส่งผลให้ปอดอักเสบ เสี่ยงเป็นไข้สมองอักเสบ ฯลฯ จึงอยากให้นำลูกน้อยเข้ารับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่เป็นประจำทุกปี เพราะเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่เปลี่ยนแปลงสายพันธุ์อยู่เสมอ ร่างกายไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อใหม่ได้ทั้งหมด ซึ่งล่าสุดทางสมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทยและสมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย ได้อัปเดตถึงคำแนะนำในการรับวัคซีน 2 ชนิด ได้แก่ 1. วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ชนิดฉีด ที่คุ้นเคยและใช้กันมาอย่างต่อเนื่องมาหลายสิบปี โดยสามารถรับได้ตั้งแต่อายุ 6 เดือนขึ้นไป และ 2. วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ชนิดพ่นจมูก เป็นทางเลือกใหม่สำหรับคนที่ไม่อยากฉีดยา
“โดยสามารถรับได้ในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 2-49 ปี มีจุดเด่นที่ไม่มีอาการเจ็บแผลจากการฉีดยา และยังสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ตั้งแต่บริเวณจมูกซึ่งเป็นจุดที่เชื้อไวรัสส่วนใหญ่เข้าสู่ร่างกาย ถือเป็นการป้องกันและลดโอกาสในการติดเชื้อ การมีวัคซีนทั้งแบบฉีดและแบบพ่นจมูก เพื่อเป็นทางเลือกให้กับคุณพ่อคุณแม่ที่ต้องการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูกน้อย และควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับบริการ” พญ.วิริยาภรณ์ กล่าว

