Crypto Tourism ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวไทย ก้าวสำคัญสู่นวัตกรรมการเงิน

Published on

ผู้เขียน: นิรันดร์ ฟูวัฒนานุกูล, CFA,

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารไบแนนซ์ ทีเอช บาย กัลฟ์ ไบแนนซ์ (BINANCE TH)

เมื่อเร็ว ๆ นี้มีความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญในประเทศไทยที่ดึงดูดความสนใจจากสื่อมวลชนทั่วโลก นั่นคือการเปิดตัวโครงการ TouristDigiPay ที่เกิดจากความร่วมมือระหว่างสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และธนาคารแห่งประเทศไทย

โครงการนำร่องนี้ช่วยให้นักท่องเที่ยวต่างชาติสามารถแปลงสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นสกุลเงินบาทเพื่อใช้จ่ายภายในประเทศได้ นอกจากจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคการท่องเที่ยวไทยแล้ว โครงการนี้ยังมีศักยภาพในการผลักดันการเติบโตของอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลของประเทศ และนำไทยเข้าใกล้เป้าหมายในการเป็นศูนย์กลางการเงินดิจิทัลระดับภูมิภาคมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือการทำความเข้าใจให้ชัดเจนว่า TouristDigiPay ไม่ใช่ระบบการชำระเงินด้วยคริปโตโดยตรงที่ทั้งลูกค้าและร้านค้าจะทำธุรกรรมกันด้วยสินทรัพย์ดิจิทัล แต่เป็นกลไกที่ช่วยให้นักท่องเที่ยวสามารถแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นเงินบาทเพื่อชำระเงินผ่านระบบ PromptPay QR ซึ่งใช้งานได้อย่างแพร่หลาย ตั้งแต่ร้านอาหารริมทางไปจนถึงห้างสรรพสินค้าชั้นนำ

โครงการนำร่องนี้นำเสนอแนวทางให้นักท่องเที่ยวสามารถใช้สินทรัพย์ดิจิทัลของตนด้วยวิธีการที่สะดวกและราบรื่น โดยอาศัยโครงสร้างพื้นฐานด้านการชำระเงินที่แข็งแกร่งของประเทศไทย

การผสานการชำระเงินด้วยคริปโตเข้ากับการท่องเที่ยว

จากรายงานของ Grand View Research ระบุว่า การชำระเงินด้วยคริปโตทั่วโลกมีมูลค่าประมาณ 550 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2024 และคาดว่าจะเติบโตไปถึง 2.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2033 รายงานนี้ยังชี้ว่าการยอมรับสินทรัพย์ดิจิทัลที่เพิ่มขึ้นเป็นปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญที่อยู่เบื้องหลังการเติบโตนี้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการชำระเงินด้วยคริปโตไม่ได้เป็นเพียงสัญลักษณ์ของนวัตกรรมการเงิน แต่ยังเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของระบบการเงินโลกในอนาคต

สำหรับประเทศไทย การท่องเที่ยวถือเป็นรากฐานที่สำคัญของเศรษฐกิจของประเทศมาอย่างยาวนาน ในช่วงก่อนวิกฤตโควิด-19 ภาคการท่องเที่ยวมีสัดส่วนเกือบ 20% ของ GDP ไทย อย่างไรก็ตาม ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาอุตสาหกรรมนี้ต้องเผชิญกับความท้าทายที่เพิ่มขึ้น ทั้งจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ประเด็นด้านความปลอดภัย และการแข่งขันที่สูงขึ้นจากประเทศเพื่อนบ้าน

ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ การนำทางเลือกการชำระเงินที่ขับเคลื่อนด้วยคริปโตเข้ามาใช้จึงถือเป็นโอกาสที่ไม่เคยมีมาก่อน เพราะไม่เพียงแต่มอบทางเลือกการชำระเงินที่สะดวก รวดเร็ว และไร้เงินสดให้กับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ โดยเฉพาะผู้ที่เน้นการใช้งานในรูปแบบดิจิทัล (Digital Nomads) และผู้ถือครองคริปโตทั่วโลกที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ยังช่วยเสริมสร้างเสน่ห์ของการท่องเที่ยวไทยให้โดดเด่นยิ่งขึ้น

อันที่จริง ประเทศไทยไม่ได้เดินอยู่บนเส้นทางนี้เพียงลำพัง เมื่อต้นปีที่ผ่านมาภูฏานได้กลายเป็นประเทศแรกที่เปิดตัวระบบชำระเงินเพื่อการท่องเที่ยวด้วยคริปโตในระดับประเทศที่นำโดยรัฐบาล ช่วยให้นักท่องเที่ยวต่างชาติสามารถทำธุรกรรมด้วยสินทรัพย์ดิจิทัลได้อย่างราบรื่นตลอดการเดินทาง นอกจากนี้การชำระเงินด้วยคริปโตยังถูกนำไปใช้ในหลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น และมีอีกหลายประเทศที่กำลังทดลองนวัตกรรมนี้ ด้วยระบบนิเวศการท่องเที่ยวที่แข็งแกร่งและโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลที่มั่นคงของไทย

ผมเชื่อว่าประเทศไทยมีศักยภาพที่จะนำนโยบายเชิงนวัตกรรมนี้ไปสู่การใช้งานคริปโตในวงกว้างและนำไปปฏิบัติได้จริง หากมีความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน ควบคู่ไปกับการสนับสนุนจากภาครัฐที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล การนำระบบชำระเงินด้วยคริปโตมาปรับใช้จะเป็นเครื่องมือเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญในการฟื้นฟูการท่องเที่ยว ขณะเดียวกันก็เป็นการวางรากฐานให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมการเงิน

ขับเคลื่อนนวัตกรรมการเงินคริปโตในประเทศไทย

ในระดับโลก การเติบโตอย่างต่อเนื่องของสเตเบิลคอยน์ (Stablecoin) กำลังกลายเป็นปัจจัยขับเคลื่อนที่สำคัญต่อการยอมรับการชำระเงินด้วยคริปโตในวงกว้าง จากข้อมูลของ McKinsey มูลค่ารวมของสเตเบิลคอยน์หมุนเวียนในระบบสูงถึง 250,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐแล้ว และคาดว่าจะเติบโตถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2028 ในขณะที่ Visa และ Mastercard ก็กำลังเริ่มโครงการต่างๆเพื่อรองรับการชำระเงินและชำระบัญชีด้วยสเตเบิลคอยน์ สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงทิศทางที่ชัดเจนว่าสถาบันการเงินแบบดั้งเดิมกำลังหันมาเปิดรับประโยชน์จากเทคโนโลยีบล็อกเชนและสินทรัพย์ดิจิทัล

แม้ว่าโครงการนำร่องนี้จะยังไม่เปิดโอกาสให้ธุรกิจและชุมชนในท้องถิ่นสามารถรับสินทรัพย์ดิจิทัลได้โดยตรง แต่โครงการนี้ก็ได้สร้างโอกาสอันดีในการให้ความรู้แก่สาธารณชน ช่วยสร้างความตระหนักรู้และส่งเสริมความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับพื้นฐานของเทคโนโลยีที่กำลังพัฒนาอย่างต่อเนื่องว่าคริปโตไม่ใช่เป็นเพียงเครื่องมือเพื่อการลงทุน แต่เป็นเทคโนโลยีที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน

โครงการนำร่องเพื่อการชำระเงินด้วยคริปโต รวมถึงโครงการริเริ่มอื่น ๆ ของหน่วยงานภาครัฐ ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนถึงความตั้งใจของรัฐบาลในการส่งเสริมนวัตกรรมผ่านนโยบายที่สนับสนุน และผมเชื่อว่าโครงการระดับชาตินี้จะเป็นก้าวสำคัญในการเชื่อมโยงระบบการเงินดั้งเดิมของไทยเข้ากับโลกใหม่ของสินทรัพย์ดิจิทัล

ก้าวต่อไปในอนาคต

เมื่อมองไปข้างหน้า โครงการ TouristDigiPay ของประเทศไทยมีศักยภาพที่จะเติบโตไปไกลกว่าแค่โครงการระดับประเทศ ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อโครงการนี้ประสบความสำเร็จ แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม โครงการนี้ถือเป็นต้นแบบให้กับทั่วโลกในการผสานการชำระเงินด้วยคริปโตเข้ากับโครงสร้างพื้นฐานการชำระเงินของประเทศ ด้วยแนวคิดที่สร้างสรรค์และมองการณ์ไกล

พร้อมด้วยกฎระเบียบที่ชาญฉลาดและปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ ภาครัฐและเอกชนจะสามารถทำงานร่วมกันเพื่อเร่งการพัฒนาทางเทคโนโลยี และสร้างผลกระทบที่มีความหมายต่อผู้คนได้มากขึ้น ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นได้ด้วยศักยภาพของเทคโนโลยีบล็อกเชนและคริปโต

ในฐานะผู้ให้บริการแพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัลชั้นนำของไทย BINANCE TH by Gulf Binanceพร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งของโครงการนี้ และมีความมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมการเงินดิจิทัล โดยยึดมั่นในหลักการปฏิบัติตามกฎระเบียบ ความเป็นเลิศทางเทคโนโลยี และวิสัยทัศน์ร่วมกันเพื่ออนาคตทางการเงินที่ทั่วถึงสำหรับทุกคน

เกี่ยวกับผู้เขียน

นิรันดร์ ฟูวัฒนานุกูล,CFA

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของไบแนนซ์ ทีเอช บาย กัลฟ์ ไบแนนซ์ (BINANCE TH)

ไบแนนซ์ ทีเอช บาย กัลฟ์ ไบแนนซ์ (BINANCE TH) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างกลุ่มบริษัท ไบแนนซ์ (Binance Group) และบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) โดยเขาเป็นผู้นำในการผลักดันให้เกิดการยอมรับสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทยให้กว้างขวางขึ้น ด้วยการส่งเสริมนวัตกรรมและสร้างความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ คุณนิรันดร์มีเป้าหมายในการขยายระบบนิเวศของบล็อกเชนและเพิ่มการเข้าถึงสินทรัพย์ดิจิทัลภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานในประเทศ ก่อนหน้านี้คุณนิรันดร์เคยดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของ Binance

ก่อนที่จะเข้าสู่อุตสาหกรรมบล็อกเชน คุณนิรันดร์เคยดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ของ TrueMoney ประเทศไทย ผู้ให้บริการ e-wallet ชั้นนำของประเทศ ซึ่งเขาได้แสดงภาวะผู้นำในการผลักดันให้บริษัทเติบโตจนกลายเป็นแอปพลิเคชันทางการเงินชั้นนำที่มีผู้ใช้งานกว่า 12 ล้านคน นอกจากนี้คุณนิรันดร์ยังเคยสั่งสมประสบการณ์จากบริษัทที่ปรึกษาด้านการจัดการอย่าง McKinsey & Company และ UBS ซึ่งเป็นธนาคารเพื่อการบริหารความมั่งคั่ง (Wealth Management) ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

คุณนิรันดร์สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจ (MBA) จากสถาบัน INSEAD และปริญญาตรีด้านวิศวกรรมศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์

Latest articles

Deloitte report: Thailand’s ESG regulations and policies facilitate sustainable finance innovation

According to Deloitte’s latest report, organisations in Thailand should strengthen ESG data collection and reporting systems, as well as expand partnerships across their value chains, given that sustainable finance is fast becoming a critical lever for market development.

รายงาน ดีลอยท์ เผยมาตรการ ESG หนุนการเงินเติบโตยั่งยืน

รายงานล่าสุดของดีลอยท์ ระบุว่าองค์กรต่าง ๆ ในประเทศไทยสามารถดำเนินการเพิ่มเติมเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งของระบบการเก็บรวบรวมและรายงานข้อมูล ESG

โอซีซี เปิดตัว Deep Layer ExV ฟื้นบำรุงเส้นผมอย่างล้ำลึก ด้วยเทคโนโลยีความงามจากญี่ปุ่น

b-ex Thailand (บีเอ็กซ์ ประเทศไทย) ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพื่อเส้นผมระดับพรีเมียมจากประเทศญี่ปุ่น ในเครือ บมจ.โอซีซี เปิดตัว Deep Layer สูตร ExV (Extra Velvety) ใหม่ล่าสุด

สัมผัสความละมุนจากเนื้อวากิว ทุกคืนวันศุกร์ ณ ห้องอาหารเวนติซี โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ฯ

ห้องอาหารเวนติซี ชั้น 24 โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ฯ เซ็นทรัลเวิลด์ ขอเชิญร่วมเปิดประสบการณ์ลิ้มรสชาติเนื้อวากิวคุณภาพพรีเมียมแสนอร่อยละมุนลิ้นในทุกคำที่ได้ลิ้มลอง ใส่ใจทุกรายละเอียดตั้งแต่การเลือกสรรนำเนื้อส่วนต่าง ๆ มาให้ทุกท่านได้ลิ้มลอง

More like this