ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจกับการฉีดวัคซีน COVID-19

Published on

จากสถานการณ์ที่ผ่านมาเรื่องที่หลายคนกังวลมากที่สุดกับการฉีดวัคซีน COVID-19 คือผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นในระยะสั้นและระยะยาวของการฉีด โดยเฉพาะผู้ป่วยในกลุ่มโรคเรื้อรังอย่างโรคหลอดเลือดหัวใจจะเกิดความกังวลมากเป็นพิเศษ ดังนั้นการเข้าใจให้ถูกต้องและเตรียมตัวให้เหมาะสมก่อนฉีดวัคซีน COVID-19 จึงเป็นเรื่องสำคัญ

นพ.ชาติทนง ยอดวุฒิ อายุรแพทย์หัวใจ หัวหน้าศูนย์ตรวจสมรรถภาพหัวใจ โรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ กล่าวว่า ในคนที่มีโรคประจำตัวและโรคเรื้อรังหากติดเชื้อ COVID-19 มีโอกาสสูงที่จะพัฒนาเป็นโรคที่รุนแรงและมีโอกาสเสียชีวิตเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ป่วยที่มีโรคหัวใจและหลอดเลือดอยู่ก่อนแล้ว เช่น 1) ผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือดที่มีอาการเฉียบพลันและเข้ารับการรักษาในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา 2) ผู้ป่วยโรคความดันหลอดเลือดแดงปอดสูง 3) โรคหัวใจพิการแต่กำเนิดในผู้ใหญ่ที่มีอาการหัวใจล้มเหลว 4) ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบชนิดเรื้อรังที่มีอาการเจ็บหน้าอกอยู่ 5) ผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจล้มเหลวในระยะรุนแรงหรือผู้ป่วยที่รับการปลูกถ่ายหัวใจ

6) โรคอ้วนรุนแรง โดยเฉพาะถ้ามีค่าดัชนีมวลกาย (BMI) มากกว่า 35 กิโลกรัมต่อตารางเมตร 7) ผู้ป่วยที่มีโรคร่วมหรือปัจจัยเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดที่คุมไม่ได้ตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไป เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง เป็นต้น และ 8) ผู้ป่วยที่มีโรคร่วมกับโรคเบาหวานชนิดที่ต้องพึ่งอินซูลินที่ควบคุมระดับน้ำตาลได้ไม่ดี ในผู้ป่วยกลุ่มโรคเหล่านี้ควรได้รับการฉีดวัคซีน COVID-19 ทันทีหากอาการสงบแล้ว เพื่อให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อโควิด-19 เพราะหากป้องกันตัวเองไม่ได้และได้รับเชื้อ COVID-19 ร่างกายจะไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อได้

การเตรียมความพร้อมและการปฏิบัติตัวสำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดก่อนฉีดวัคซีน COVID-19 ได้แก่ 1) ตรวจสอบอาการของโรคที่เป็นอยู่ว่ามีอาการหรือไม่ ผู้ป่วยที่เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจต้องพิจารณาว่ามีอาการที่เป็นอันตรายถึงชีวิตหรือไม่ เช่น มีอาการโรคหลอดเลือดหัวใจตีบชนิดเฉียบพลันจะมีอาการเจ็บแน่นหน้าอกขณะออกแรงหรือออกกำลังกายบริเวณกลางหน้าอกหรือร้าวไปแขนซ้าย และโรคหลอดเลือดหัวใจมีอาการภาวะหัวใจล้มเหลวชนิดเฉียบพลันร่วมด้วย เช่น เหนื่อย นอนราบไม่ได้ ต้องนอนหมอนสูง หรือมีภาวะน้ำท่วมปอดร่วมด้วย 2) ผู้ป่วยมีความดันโลหิตสูงชนิดรุนแรง ถ้าความดันโลหิตตัวบนสูงมากกว่า 160 มิลลิเมตรปรอท จำเป็นจะต้องควบคุมความดันโลหิตก่อน ต้องควบคุมความดันโลหิตตัวบนให้ต่ำกว่า 140 มิลลิเมตรปรอทในวันก่อนมารับวัคซีน

3) กรณีที่รับประทานยาต้านการแข็งตัวของเลือดชนิด Warfarin ถ้าระดับ INR คงที่มาตลอดและ INR ต่ำกว่า 4.0 ภายใน 1 สัปดาห์ หรือมีผลระดับ INR ก่อนหน้านี้อยูในระดับต่ำกว่า 3.0 มาโดยตลอด (ไม่จําเป็นต้องหยุดหรือปรับขนาดยาและไม่จําเป็นต้องตรวจ INR ก่อนรับวัคซีน) สามารถรับการฉีดวัคซีน COVID-19 ได้โดยใช้เข็มฉีดยาขนาดเล็ก 25G หรือ 27G ฉีดที่กล้ามเนื้อต้นแขน แล้วกดตําแหน่งที่ฉีดไว้นานประมาณ 5 นาที จากนั้นอาจประคบเย็นต่อด้วยน้ำแข็งหรือเจลเย็น

4) สำหรับผู้ป่วยที่รับประทานยาต้านการแข็งตัวของเลือดกลุ่มใหม่ (NOACs) และยาต้านเกล็ดเลือด เช่น Aspirin, Clopidogrel, Ticagrelor หรือ Prasugrel สามารถฉีดวัคซีนได้โดยไม่ต้องงดยาก่อนฉีด ควรใช้เข็มขนาดเล็ก 25G หรือเล็กกว่า และไม่ควรคลึงกล้ามเนื้อหลังฉีดวัคซีน ควรกดตำแหน่งที่ฉีดวัคซีนนานอย่างน้อย 5 นาทีและแน่ใจว่าไม่มีเลือดออกผิดปกติ แต่หากมีการนัดเพื่อทำบอลลูนหลอดเลือดหัวใจหรือผ่าตัดบายพาสเส้นเลือดหัวใจในกรณีที่โรคค่อนข้างสงบหรือไม่ได้แสดงอาการควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางโรคหัวใจเพื่อประเมินโดยละเอียดว่าโอกาสที่จะติดเชื้อสูงหรือไม่ หากประเมินแล้วผลดีของการฉีดวัคซีนมีมากกว่าควรฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อ ก่อน ซึ่งขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์และสถานการณ์ในขณะนั้นด้วย

นพ.ชาติทนง ยอดวุฒิ

ในผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือดตามที่กล่าวมาถ้าได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว จะทำให้ร่างกายสามารถฆ่าเชื้อได้เมื่อมีภูมิคุ้นกันที่สูงพอ ยับยั้งการแบ่งตัวของเชื้อไวรัสทำให้ไม่สามารถเพิ่มจำนวนในร่างกายได้และเชื้อไม่สามารถแพร่กระจายสู่คนอื่นได้ หากทุกคนมีภูมิคุ้มกันอยู่ในร่างกาย เชื้อโควิด-19 จะไม่สามารถเจริญเติบโตและแพร่พันธุ์ได้อีกต่อไป จึงเป็นการตัดวงจรการระบาดและเป็นการตัดวงจรการกลายพันธุ์ของเชื้อไปด้วย

สำหรับคนที่มีความเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจ เช่น ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ภาวะเหล่านี้สามารถควบคุมได้และมีความคงที่ ไม่ต้องตรวจสุขภาพก่อนฉีดวัคซีน แต่ถ้ายังควบคุมไม่ได้ควรปรึกษาแพทย์เพื่อวินิจฉัยโดยละเอียดก่อนฉีดวัคซีน หากไม่แน่ใจหรือมีอาการผิดปกติที่คิดว่าอาจจะสัมพันธ์กับโรคที่เป็นอยู่ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำการฉีดวัคซีน หรือในผู้ป่วยที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจ เช่น ผู้ป่วยที่กำลังจะต้องทำบอลลูนหรือใส่ขดลวด การรักษาด้วยการผ่าตัดทำ Bypass เส้นเลือดหัวใจที่ยังแสดงอาการของโรคหลอดเลือดหัวใจอยู่ ควรรักษาก่อนที่จะได้รับการฉีดวัคซีน สำหรับการเกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือดมีโอกาสเกิดขึ้นน้อยมาก ในกลุ่มผู้สูงอายุอาจพบเพียงแค่ 1 ในล้านโดสเท่านั้น และพบได้น้อยลงโดยเฉพาะในคนที่รับประทานยาละลายลิ่มเลือด ยาต้านการแข็งตัวของเลือด และยาต้านเกล็ดเลือด

ผู้ป่วยกลุ่มโรคหัวใจและหลอดเลือดควรได้รับการฉีดวัคซีน COVID-19 ในสถานพยาบาลที่มีความพร้อมในการสังเกตอาการ 30 นาทีหลังได้รับวัคซีน เพื่อสามารถดูแลได้ทันหากมีภาวะแทรกซ้อนหรือภาวะไม่พึงประสงค์ ในระยะแรกหลังฉีดวัคซีนไปแล้ว 30 นาที ส่วนใหญ่จะเป็นอาการที่เกิดขึ้นเฉพาะที่ และอาการไม่รุนแรง เช่น เจ็บปวดบริเวณที่ฉีด ปวดศีรษะ เหนื่อยหอบ ปวดกล้ามเนื้อ มีไข้ หนาวสั่น ปวดบริเวณข้อ หรือคลื่นไส้ ระหว่างที่สังเกตอาการ หากพบความผิดปกติให้แจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อประเมินอาการทันที สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ รพ.หัวใจกรุงเทพ โทร. 02-310-3000 โทร.1719 หรือ LINE Official: @hearthospital

Latest articles

เผยเทรนด์ฮิตปลายปี 68 กลุ่ม Gen Y – Gen Z ชอบรวมกลุ่มเข้าป่า ส่งสินค้ากลางแจ้งยอดพุ่ง

เผยเทรนด์ฮิตปลายปี 68 กลุ่ม Gen Y – Gen Z  กิจกรรมกลางแจ้ง รวมกลุ่มเข้าป่า ตั้งแคมป์ ให้ธรรมชาติฮีลใจ”ดีแคทลอน ตอบรับกระแสปลายปี เปิดสาขาใหม่ บางกะปิ ด้วยกลยุทธ์ “Bring Sport Closer to People”

ซีเล็ค x เด็กสมบูรณ์ เปิดตัว “ปลาทูน่านึ่งซีอิ๊ว” ชู SMART PROTEIN สะดวกดีต่อสุขภาพ

ซีเล็ค x เด็กสมบูรณ์ เปิดตัว “ปลาทูน่านึ่งซีอิ๊ว” ชู SMART PROTEIN สะดวกดีต่อสุขภาพ คู่ความอร่อยคูณสองแบบต้นตำรับ 

SABINA จัดแคมเปญโปรโมชั่น 11.11 ดีลแรง กระตุ้นยอดขายไตรมาสสุดท้าย

“ซาบีน่า” จัดแคมเปญโปรโมชั่นเอาใจเหล่านักช้อป “11.11 สิ้นสุดการรอคอยน์ ซาบีน่าลดให้เลย 1,111 บาท” เมื่อช้อปสินค้าครบ 2,500 บาท

 เปิดตัว Canon EOS R6 Mark III ความละเอียด 32.5 ล้านพิกเซล รองรับวิดีโอแบบ Open Gate

EOS R6 Mark III เปิดมาตรฐานใหม่แห่งการสร้างสรรค์ ด้วยความละเอียดภาพ 32.5 ล้านพิกเซล บันทึกวิดีโอไฟล์ RAW 7K 60p และรองรับการถ่ายวิดีโอแบบ Open Gate

More like this