เศรษฐกิจ CLMV กระทบหนัก พิษโควิด-19

Published on

EIC คาดเศรษฐกิจ CLMV ในปี 2563 ชะลอตัวอย่างมีนัยสำคัญ ท่ามกลางผลกระทบโดยตรงของโควิด-19 ทำให้เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย พร้อมเผชิญความเสี่ยงเฉพาะรายประเทศ

ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจ CLMV เติบโตได้ดีท่ามกลางสถานการณ์สงครามการค้าโลก และแรงสนับสนุนจากอุปสงค์ภายในประเทศที่แข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม EIC ประเมินว่าผลกระทบจากโควิด-19 จะทำให้เศรษฐกิจ CLMV มีแนวโน้มชะลอตัวค่อนข้างมาก จากอุปสงค์ต่างประเทศที่ลดลงตามเศรษฐกิจโลกที่เข้าสู่ภาวะถดถอยอย่างหนัก (deep global economic recession) และอุปสงค์ภายในประเทศที่ชะลอตัวจากมาตรการปิดเมือง (Lockdown) รวมถึงการจ้างงานที่ชะลอตัว

นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงรายประเทศ (country-specific risks) ที่ต้องเผชิญในปีนี้อีกด้วย โดยเฉพาะกัมพูชา
จากการถูกเพิกถอนสิทธิ Everything But Arms (EBA) บางส่วนจากสหภาพยุโรป ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในเดือนสิงหาคม 2563 ขณะที่ลาวมีความเปราะบางจากฐานะการคลังและระดับหนี้ต่างประเทศในระดับสูง สำหรับเมียนมาเผชิญความเสี่ยงด้านความไม่แน่นอนก่อนการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนพฤศจิกายน 2563 และเวียดนาม ได้รับผลกระทบด้านห่วงโซ่อุปทาน (supply chain disruption) ที่มีความเชื่อมโยงกับห่วงโซ่อุปทานโลกที่สำคัญในหลายอุตสาหกรรม

EIC ได้ปรับลดคาดการณ์อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศ CLMV ในปี 2563 ลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเศรษฐกิจกัมพูชาจะชะลอตัวลงค่อนข้างรุนแรง โดยเติบโตเพียง 0.4% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ซึ่งเป็นการเติบโตที่ช้าที่สุดในรอบ 11 ปี ในขณะที่เศรษฐกิจลาว เมียนมา และเวียดนามจะเติบโตเพียง 2.0% 2.4% และ 3.0% ตามลำดับ ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตที่ช้าที่สุดในรอบ 3 ทศวรรษของทั้งสามประเทศ อย่างไรก็ตาม คาดว่ากลุ่มเศรษฐกิจ CLMV จะกลับมาขยายตัวได้ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยในช่วงก่อนหน้าที่ 5%-7% ต่อปีอีกครั้งในปี 2564 หากการระบาดของโควิด-19 ในประเทศเหล่านี้และประเทศคู่ค้าสำคัญถูกควบคุมได้

สำหรับภาคการส่งออกของกลุ่มประเทศ CLMV ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานการผลิตของภูมิภาคจะได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก ท่ามกลางสถานการณ์โควิด-19 และการหยุดชะงักของกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วโลกจากมาตรการ lockdown เพื่อควบคุมการระบาด ในประเทศต่าง ๆ ซึ่งจะนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอยและการค้าโลกหดตัวในปี 2563 จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคส่งออก โดยเศรษฐกิจเวียดนามและการจ้างงานน่าจะได้รับผลกระทบมาก เนื่องจากพึ่งพาภาคส่งออกสินค้าในระดับสูง โดยมูลค่าส่งออกสินค้าของเวียดนามคิดเป็นสัดส่วน 99% ของ GDP

ทั้งนี้ ตัวเลขส่งออกล่าสุดของเวียดนามในเดือนเมษายนเริ่มส่งสัญญาณหดตัว -3.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน รองลงมาคือกัมพูชาที่ภาคส่งออกคิดเป็นสัดส่วน 46% ของ GDP โดยทั้งเวียดนามและกัมพูชาจะได้รับผลกระทบค่อนข้างมากจากการหดตัวที่รุนแรงของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และยุโรป รวมถึงการชะลอตัวอย่างมากของเศรษฐกิจจีน เนื่องจาก 3 กลุ่มประเทศนี้เป็นตลาดส่งออกสำคัญมากกว่า 50% ของมูลค่าส่งออกทั้งหมด

ขณะที่เศรษฐกิจลาวและเมียนมาที่แม้สัดส่วนภาคส่งออกต่อ GDP (27% และ 16% ตามลำดับ) ไม่สูงมาก แต่ก็น่าจะได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของภาคการส่งออกตามการลดลงของรายได้ในประเทศคู่ค้าเช่นกัน โดยตัวเลขส่งออกเมียนมาในเดือนเมษายนหดตัวถึง 17.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สำหรับสินค้าส่งออกที่จะได้รับผลกระทบค่อนข้างมากคือเครื่องนุ่งห่มซึ่งเป็นสินค้าส่งออกหลักของกลุ่มประเทศ CLMV ไปยังสหรัฐฯและยูโรป โดยการหดตัวของการส่งออกอาจมีความรุนแรงยิ่งขึ้นหากมาตรการ Lockdown ในประเทศเหล่านี้ถูกขยายเวลาออกไปนานขึ้น

สำหรับจำนวนนักท่องเที่ยวคาดว่าจะลดลงตามการท่องเที่ยวทั่วโลกที่หยุดชะงัก ผลกระทบจากการลดลงของนักท่องเที่ยวต่างชาติจะมีค่อนข้างสูงต่อเศรษฐกิจกัมพูชาลำะเวียดนาม เนื่องจากมีสัดส่วนรายได้จากการท่องเที่ยวต่อ GDP สูงถึง 18% และ 11% ตามลำดับ ขณะเดียวกัน ผลกระทบของภาคการท่องเที่ยวต่อลาวและเมียนมาจะลดหลั่นลงมาตามสัดส่วนรายได้จากการท่องเที่ยวต่อ GDP ที่ไม่สูงมากนัก (4% และ 3% ตามลำดับ) โดยตัวเลขล่าสุดสะท้อนการหดตัวที่รุนแรงของตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติในเวียดนาม (-68% และ -98% เทียบกับช่วงเดียวของปีก่อนในเดือนมีนาคมและเมษายน) และในกัมพูชา (-65% เมื่อเทียบเดือนมีนาคม 62) สะท้อนถึงภาวะหยุดชะงักของภาคท่องเที่ยวในภูมิภาคนี้

ทั้งนี้ แนวโน้มการหดตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติน่าจะมีอัตราต่ำสุดในช่วงไตรมาสที่ 2 เนื่องจากประเทศส่วนใหญ่ยังมีมาตรการปิดประเทศที่เข้มงวดเพื่อควบคุมโรคระบาด ขณะที่การฟื้นตัวในระยะครึ่งหลังของปีน่าจะเป็นไปอย่างช้า ๆ ตราบใดที่ยังไม่มีวัคซีนหรือการรักษาที่ได้ผล โดยในระยะแรกน่าจะเป็นการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวในภูมิภาคอาเซียนหรือจีนที่ไม่ต้องใช้เวลาในการเดินทางมากนัก

สำหรับการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) และโครงการลงทุนภายในประเทศบางส่วนอาจถูกเลื่อนออกไปเนื่องจากเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย โดยจากการประมาณการขององค์การสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (UNCTAD) คาดว่า FDI ทั่วโลกจะลดลงถึง 30%-40% ในปี 2563 โดยในกลุ่มประเทศ CLMV จากข้อมูลปี 2561 กัมพูชามีสัดส่วนมูลค่าการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศสุทธิ (net FDI flow) ต่อ GDP สูงที่สุด (13%) ตามด้วยลาว (7%) เวียดนาม (6%) และเมียนมา (2%) อย่างไรก็ดี หากสถานการณ์โควิด-19 บรรเทาลง กลุ่มประเทศ CLMV โดยเฉพาะเวียดนาม อาจได้รับผลบวกต่อเนื่องจากการที่บริษัทย้ายฐานการผลิตออกจากจีนเพื่อกระจายความเสี่ยงจากการกระจุกตัวของฐานการผลิตในจีน

ขณะที่มาตรการ lockdown รวมถึงการจ้างงานและค่าแรงที่ลดลงจะส่งผลลบต่อการบริโภคภายในประเทศ การชะลอตัวของเศรษฐกิจในครั้งนี้ต่างกับการชะลอตัวครั้งก่อน ๆ เนื่องจากเศรษฐกิจ CLMV ไม่สามารถพึ่งพาการบริโภคภายในประเทศที่แข็งแกร่งซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 65%-70% ของ GDP มารองรับการชะลอตัวได้มากนัก เพราะนอกจากการระบาดของโควิด-19 จะฉุดเศรษฐกิจโลกให้เข้าสู่ภาวะถดถอยอย่างหนัก ส่งผลให้อุปสงค์จากต่างประเทศลดลงแล้ว มาตรการ lockdown ในกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชาสั่งปิดประเทศทั้งหมด ขณะที่ลาว เมียนมา และเวียดนามสั่งปิดประเทศบางส่วน)

เพื่อควบคุมการระบาดของโควิด-19 ยังส่งผลลบต่อเนื่องไปยังการจ้างงานและรายได้แรงงานทั้งงานในประเทศและในไทย ซึ่งมีแรงงาน CLMV เข้ามาทำงานอยู่มาก ซึ่งน่าจะทำให้การบริโภคภายในประเทศชะลอหรือหดตัวลงค่อนข้างมากอีกด้วย โดยตัวเลขยอดค้าปลีก (retail sales) ในเดือนเมษายนของเวียดนามที่หดตัวลง 26% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนได้ถึงความรุนแรงของผลกระทบดังกล่าวต่อการบริโภคในประเทศ

รัฐบาลและธนาคารกลางในกลุ่มประเทศ CLMV ได้ดำเนินนโยบายการคลังและนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย
และคาดว่าจะยังใช้นโยบายในทิศทางดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทางการคลัง การอัดฉีดเงินเพื่อรักษาสภาพคล่อง และการปรับลดอัตราดอกเบี้ย อย่างไรก็ตาม กลุ่มประเทศ CLMV ยังคงต้องเผชิญกับข้อจำกัดทางการคลัง (limited fiscal space) เช่นเดียวกับประเทศกำลังพัฒนาอื่น ๆ ส่วนใหญ่ โดยเฉพาะลาวที่มีหนี้สาธารณะ (58% ของ GDP ในปี 2562 โดยเกือบ 90% เป็นหนี้ในสกุลต่างประเทศ) และการขาดดุลทางการคลัง (5.1% ของ GDP) ที่ค่อนข้างสูง

นอกจากนั้นลาวยังมีความเสี่ยงด้านเสถียรภาพต่างประเทศ (external stability risk) ที่ค่อนข้างสูงอีกด้วย โดย IMF คาดการณ์ว่าระดับทุนสำรองระหว่างประเทศของลาวจะสามารถรองรับมูลค่าการนำเข้าได้เพียง 1.7 เดือนในปี 2563 ซึ่งยังอยู่ในระดับต่ำกว่ามาตรฐานที่ 3 เดือนอยู่ค่อนข้างมาก สำหรับเวียดนามที่แม้จะมีหนี้สาธารณะที่ต่ำกว่าลาวไม่มากนัก (54.3% ของ GDP ณ เดือนเมษายน 2563) แต่ในช่วงที่ผ่านมาเวียดนามประสบความสำเร็จในการลดหนี้สาธารณะลงอย่างมีนัยสำคัญ (จากที่เคยสูงถึง 63.7% ในปี 2559) และยังมีดุลบัญชีเดินสะพัดที่เกินดุลอยู่ (0.7% ของ GDP ในปี 2563 คาดการณ์โดย IMF) ในขณะที่กัมพูชา (28.3%) และเมียนมา (22.8%) มีหนี้สาธารณะต่อ GDP ที่ต่ำกว่าอย่างมีนัยสำคัญ

เมื่อพิจารณาความท้าทายรายประเทศและเศรษฐกิจโลกที่คาดว่าจะฟื้นตัวในลักษณะแบบค่อยเป็นค่อยไป (U-shaped recovery) EIC มองว่าการฟื้นตัวในครึ่งหลังของปี 2563 จะเป็นไปอย่างช้า ๆ ขณะที่การฟื้นตัวที่คาดไว้ในปี 2564 จะมีปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของประเทศคู่ค้า ฐานที่ต่ำและนโยบายการเงินและการคลังที่ผ่อนคลายต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามการคาดการณ์นี้ขึ้นอยู่กับสมมติฐานของ EIC ว่าการระบาดของโควิด-19 จะสามารถควบคุมได้ในครึ่งแรกของปี 2563 และเนื่องจากความไม่แน่นอนทางด้านการระงับการระบาดของโควิด-19 ยังมีอยู่สูง การคาดการณ์จึงคงมีความเสี่ยงด้านต่ำอยู่พอสมควร

Latest articles

เผยเทรนด์ฮิตปลายปี 68 กลุ่ม Gen Y – Gen Z ชอบรวมกลุ่มเข้าป่า ส่งสินค้ากลางแจ้งยอดพุ่ง

เผยเทรนด์ฮิตปลายปี 68 กลุ่ม Gen Y – Gen Z  กิจกรรมกลางแจ้ง รวมกลุ่มเข้าป่า ตั้งแคมป์ ให้ธรรมชาติฮีลใจ”ดีแคทลอน ตอบรับกระแสปลายปี เปิดสาขาใหม่ บางกะปิ ด้วยกลยุทธ์ “Bring Sport Closer to People”

ซีเล็ค x เด็กสมบูรณ์ เปิดตัว “ปลาทูน่านึ่งซีอิ๊ว” ชู SMART PROTEIN สะดวกดีต่อสุขภาพ

ซีเล็ค x เด็กสมบูรณ์ เปิดตัว “ปลาทูน่านึ่งซีอิ๊ว” ชู SMART PROTEIN สะดวกดีต่อสุขภาพ คู่ความอร่อยคูณสองแบบต้นตำรับ 

SABINA จัดแคมเปญโปรโมชั่น 11.11 ดีลแรง กระตุ้นยอดขายไตรมาสสุดท้าย

“ซาบีน่า” จัดแคมเปญโปรโมชั่นเอาใจเหล่านักช้อป “11.11 สิ้นสุดการรอคอยน์ ซาบีน่าลดให้เลย 1,111 บาท” เมื่อช้อปสินค้าครบ 2,500 บาท

 เปิดตัว Canon EOS R6 Mark III ความละเอียด 32.5 ล้านพิกเซล รองรับวิดีโอแบบ Open Gate

EOS R6 Mark III เปิดมาตรฐานใหม่แห่งการสร้างสรรค์ ด้วยความละเอียดภาพ 32.5 ล้านพิกเซล บันทึกวิดีโอไฟล์ RAW 7K 60p และรองรับการถ่ายวิดีโอแบบ Open Gate

More like this