มูจิ รีเทล (ประเทศไทย) เดินเกมรุกครั้งสำคัญกับการเปิดตัว “MUJI Central World Flagship Store” แฟลกชิปสโตร์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Southeast Asia) ตอกย้ำบทบาทของไทยในฐานะ ตลาดที่แข็งแกร่งที่สุดของมูจิในภูมิภาค
โดยสาขาแฟลกชิปสโตร์แห่งนี้ถือเป็น สาขาที่ 40 ของมูจิในประเทศไทย สะท้อนการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของแบรนด์ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2565 ถึง พ.ศ. 2568 ซึ่งเปิดไปแล้วรวม 15 สาขาในช่วง 3 ปี และทำให้ปัจจุบันมูจิมีสาขาครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วประเทศ มูจิมองว่าการเปิดแฟลกชิปครั้งนี้ไม่ใช่เพียงการเสริมความแข็งแกร่งในกรุงเทพฯ แต่ยังเป็นการสร้างอิมแพคในระดับประเทศ
แฟลกชิปสโตร์แห่งนี้ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 3,700 ตารางเมตร ที่ชั้น 4 โซน I เซ็นทรัลเวิลด์ พร้อมคอนเซ็ปต์ “MUJI Meets วิถีชีวิตแบบไทย” ทำหน้าที่เป็น Global Hub สำหรับลูกค้าในกรุงเทพฯ ต่างจังหวัด และนักท่องเที่ยวทั่วโลก รองรับฐานลูกค้าหลักอายุ 25–35 ปี เล็งขยายไปยังกลุ่มวัยรุ่น ผู้ชาย รวมถึงกลุ่มผู้บริโภคจากภูมิภาคต่างๆ มากขึ้น รวมถึงนักท่องเที่ยวที่มีสัดส่วนเติบโตสูงในปีนี้
อกิฮิโร่ คาโมการิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มูจิ รีเทล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ประเทศไทยเป็นหนึ่งในตลาดที่สำคัญที่สุดของมูจิ และเป็นประเทศที่มีผลการดำเนินงานดีที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ดังนั้นการเปิดตัว MUJI Central World Flagship Store ไม่ได้เป็นเพียงการขยายสาขา แต่เป็นการลงทุนเพื่อยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าในไทยสู่มาตรฐานระดับโลก
เราตั้งใจนำเสนอสินค้าที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนไทยมากขึ้น ทั้งการพัฒนาสินค้าใหม่ การออกแบบพื้นที่ช้อปปิ้งรูปแบบใหม่ และการนำเสนอบริการที่ครบถ้วนที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประเทศไทย เรามั่นใจว่าแฟลกชิปสโตร์แห่งนี้จะช่วยผลักดันให้ มูจิ ประเทศไทยเติบโตอย่างต่อเนื่องในปีหน้าและปีต่อๆ ไป”

ด้วยพื้นที่ขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Southeast Asia) ตอกย้ำว่าตลาดไทยคือGrowth Engine ของ มูจิ (MUJI) โดยร้านสาขานี้ครอบคลุมครบทุกไลน์สินค้าที่จำหน่ายในประเทศไทย โดยปัจจุบันสัดส่วนยอดขายสินค้าของ มูจิ ประเทศไทย แบ่งเป็น เครื่องแต่งกาย 49%, ของใช้ในบ้าน 47% และ อาหาร 4%
โดยกลุ่มสินค้าที่คาดว่าจะเติบโตมากที่สุดหลังการเปิดตัวแฟลกชิปสโตร์สาขานี้ คือ เครื่องแต่งกาย โดยเฉพาะเสื้อผ้าคอตตอนและเสื้อผ้าลินินที่เป็นกลุ่มสินค้าหลักของมูจิ ตามด้วยกลุ่มสินค้าเพื่อสุขภาพและความงาม อาทิ ผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกายและผลิตภัณฑ์เครื่องหอม ขณะที่หมวดขนมและอาหารสำเร็จรูป คาดว่าจะขยายตัวต่อเนื่องได้ โดยเฉพาะสินค้าที่พัฒนาและจัดจำหน่ายเฉพาะในประเทศไทย ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคชาวไทย
แฟลกชิปสโตร์แห่งใหม่นี้ยังโดดเด่นด้วยการนำเสนอ Core Items ของมูจิอย่างครบถ้วนที่สุด ผ่านการจัดโซนสินค้าที่ชัดเจนและเป็นสัดส่วน ไม่ว่าจะเป็นเสื้อยืด (T-shirts), Care Items, Fragrance หรือ Food & Snacks ให้ลูกค้าได้ทดลองและสัมผัสรายละเอียดของสินค้าอย่างใกล้ชิด ตั้งแต่เนื้อผ้า กลิ่น ไปจนถึงโทนสี
ภายในร้านยังได้รับการออกแบบด้วยโครงสร้างและฟิกซ์เจอร์ดีไซน์ใหม่ทั้งหมด เพื่อให้การเลือกสินค้าเป็นระเบียบ เข้าใจง่าย และสะท้อนคุณภาพของมูจิได้อย่างชัดเจน พร้อมนำเสนอสินค้าที่พัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนไทยโดยเฉพาะ ทั้งของใช้ในบ้านและขนมอาหารว่าง
นอกจากนี้ยังเป็นสาขาแรกในประเทศไทยที่มี Atelier MUJI พื้นที่สร้างสรรค์ที่ต่อยอดแนวคิดจาก MUJI Ginza ประเทศญี่ปุ่น เพื่อเป็นเวทีแห่งแรงบันดาลใจ การเรียนรู้ และการเชื่อมต่อระหว่างศิลปะ การออกแบบ และวัฒนธรรมร่วมสมัยผ่าน ผ่านกิจกรรม นิทรรศการ และโครงการพิเศษที่จะจัดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อีกหนึ่งจุดเด่นสำคัญของ “MUJI Central World Flagship Store” คือการออกแบบพื้นที่ใหม่ทั้งหมด โดยนำวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสะท้อนความเป็นไทยมาใช้ อาทิ ไม้สักเก่านำกลับมาใช้ใหม่ (Reclaimed Teak), อิฐรีไซเคิล, วัสดุผสมจากเศษกากกาแฟ และยังสะท้อนถึงการต่อยอดปณิธานด้าน Sustainability ของมูจิ ในการลดการใช้ทรัพยากรใหม่และให้คุณค่ากับวัสดุที่นำกลับมาใช้ซ้ำ โดยดีไซน์เหล่านี้ถูกผสมผสานเข้ากับเอกลักษณ์ของมูจิอย่างเรียบง่ายและฟังก์ชันครบถ้วน เพื่อให้ร้านตอบโจทย์ทั้งคนเมือง คนไทยทุกภูมิภาค และนักท่องเที่ยว
ตั้งแต่ในช่วงปี 2568 เป็นต้นมา มูจิ ประเทศไทยเดินหน้าขยายสาขาใหม่มาอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าขยายอีก 10 สาขา ภายในปี 2573 ครอบคลุมกรุงเทพฯ และเมืองรองสำคัญ พร้อมปรับปรุงสาขาเดิมให้รองรับสินค้าครบทุกหมวดหมู่ เพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ของมูจิที่สมบูรณ์แบบมากขึ้นในทุกสาขา
อกิฮิโร่ คาโมการิ เสริมว่า “จากการเติบโตของยอดขายและจำนวนผู้เข้าร้านในปีที่ผ่านมา มูจิมั่นใจว่าการเปิดแฟลกชิปสโตร์แห่งนี้จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้ยอดขายของ มูจิ ประเทศไทย เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในปีหน้า โดยเฉพาะเมื่อสาขานี้ตอบโจทย์คนเมือง วัยรุ่น ผู้ชาย และกลุ่มนักท่องเที่ยว ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อภาพรวมของตลาดประเทศไทย”

