กลุ่มบริษัทเอมิเรตส์ เผยผลประกอบการรอบครึ่งปีแรก ประจำปี 2568-2569 สร้างสถิติใหม่อีกครั้งด้วยกำไรก่อนหักภาษีอยู่ที่ 12.2 พันล้าน AED (3.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) สำหรับช่วงหกเดือนแรกของปี นับเป็นปีที่สี่ติดต่อกันที่กลุ่มบริษัทสามารถทำกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์สำหรับรอบการรายงานครึ่งปีแรก หลังหักภาษี กลุ่มบริษัทมีกำไรสุทธิ 10.6 พันล้าน AED (2.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพิ่มขึ้น 13% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการดำเนินงานของกลุ่มบริษัท โดยมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) อยู่ที่ 21.1 พันล้าน AED (5.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพิ่มขึ้น 3% จาก 20.4 พันล้าน AED (5.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
รายได้รวมของกลุ่มบริษัท อยู่ที่ 75.4 พันล้าน AED (20.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในช่วงครึ่งปีแรก เพิ่มขึ้น 4% จาก 70.8 พันล้าน AED (19.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อน
กลุ่มบริษัทเอมิเรตส์ยังมีสถานะเงินสดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 56.0 พันล้าน AED (15.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ณ วันที่ 30 กันยายน 2568 เพิ่มขึ้นจาก 53.4 พันล้าน AED (14.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ณ วันที่ 31 มีนาคม 2568 โดยกลุ่มบริษัทได้ใช้เงินสดสำรองเพื่อสนับสนุนความต้องการทางธุรกิจ เช่น การจัดหาเครื่องบินลำใหม่และการชำระหนี้สิน พร้อมทั้งจ่ายเงินปันผลจำนวน 2 พันล้าน AED (545 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ให้แก่ผู้ถือหุ้น ซึ่งเป็นส่วนสุดท้ายของเงินปันผลรวม 6 พันล้าน AED (1.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ที่ประกาศไว้ในปีการเงิน 2568-2569
ชีค อาเหม็ด บิน ซาอิด อาล มักตูม ประธานกรรมการบริษัทและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายการบินและกลุ่มสายการบินเอมิเรตส์ กล่าวว่า “ผลประกอบการดังกล่าวตอกย้ำความแข็งแกร่งของธุรกิจ โดยกลุ่มบริษัทสามารถทำลายสถิติผลประกอบการครึ่งปีของปีที่ผ่านและทำสถิติใหม่สูงสุดในประวัติการณ์สำหรับครึ่งปีแรกของปี 2568-2569 ผมรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่เอมิเรตส์ยังคงรักษาตำแหน่งสายการบินที่ทำกำไรสูงสุดของโลกในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมาได้อย่างต่อเนื่อง”
“ผลการดำเนินงานในครั้งนี้ได้ เกิดจากความต้องการเดินทางของผู้คนที่ยังคงมีอย่างต่อเนื่องทั่วโลก และความเชื่อมั่นของลูกค้าที่เพิ่มขึ้นต่อผลิตภัณฑ์และบริการของเรา ซึ่งช่วยขับเคลื่อนรายได้และผลกำไรของกลุ่มบริษัทให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง”
“เอมิเรตส์และ dnata ได้ลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์อย่างต่อเนื่องในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ นำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่สู่ตลาด ยกระดับประสิทธิภาพผ่านนวัตกรรมและเทคโนโลยี และดูแลพนักงานของเราอย่างใกล้ชิดเพื่อให้มั่นใจว่าลูกค้าจะได้รับบริการที่ปลอดภัยและน่าประทับใจ สิ่งเหล่านี้คือหัวใจสำคัญในดีเอ็นเอขององค์กรเรา”
“ความสามารถในการทำกำไรที่แข็งแกร่งของกลุ่มบริษัทช่วยให้เราสามารถลงทุนต่อเนื่อง และขยายรูปแบบธุรกิจที่พิสูจน์แล้วว่าประสบความสำเร็จ เพื่อสอดคล้องกับการเติบโตของดูไบในฐานะเมืองศูนย์กลางระดับโลกที่เป็นจุดหมายปลายทางของบุคลากร ธุรกิจ และนักท่องเที่ยว”
ชีค อาเหม็ด กล่าวเสริมว่า “ความต้องการด้านการขนส่งทางอากาศและบริการท่องเที่ยวยังคงอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์และความท้าทางเศรษฐกิจในบางตลาด เราคาดว่าความต้องการนี้จะยังคงดำเนินต่อไปจนถึงช่วงที่เหลือของปีงบประมาณ 2568-2569 ขณะเดียวกัน เอมิเรตส์มีแผนเดินหน้าขยายขีดความสามารถเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน เมื่อเครื่องบินรุ่นใหม่ A350 เริ่มเข้าประจำการในฝูงบินของเอมิเรตส์ และโครงสร้างพื้นฐานใหม่ของ dnata พร้อมเปิดดำเนินงาน”
ทั้งนี้ เพื่อรองรับการขยายตัวของการดำเนินงานและกิจกรรมทางธุรกิจที่เพิ่มขึ้น จำนวนพนักงานของกลุ่มบริษัทเอมิเรตส์เพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบกับวันที่ 31 มีนาคม 2568 รวมเป็น 124,927 คน ณ วันที่ 30 กันยายน 2568 โดยทั้งเอมิเรตส์และ dnata ยังคงดำเนินการสรรหาบุคลากรอย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต
เอมิเรตส์ยังคงพัฒนาเครือข่ายการให้บริการและทางเลือกด้านการเชื่อมต่อผ่านศูนย์กลางในดูไบอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงครึ่งแรกของปีงบประมาณ 2568-2569 สายการบินได้เปิดให้บริการเส้นทางบินใหม่สู่ ดานัง เสียมราฐ เซินเจิ้น และหางโจว เครือข่ายการให้บริการของเอมิเรตส์ครอบคลุม 153 สนามบินใน 81 ประเทศทั่วโลก ทั้งด้านขนส่งผู้โดยสารและขนส่งสินค้า ณ วันที่ 30 กันยายนที่ผ่านมา
เพื่อเพิ่มศักยภาพการเชื่อมต่อของเครือข่ายให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น เอมิเรตส์ได้เพิ่มเที่ยวบินประจำรายสัปดาห์อีก 28 เที่ยวบิน ในเส้นทางสำคัญ ได้แก่ อันตานานาริโว โจฮันเนสเบิร์ก มัสกัต โรม ริยาด และไทเป
ในช่วงหกเดือนแรกของปีงบประมาณนี้ เอมิเรตส์ยังได้ลงนามข้อตกลงร่วมกับพันธมิตรเที่ยวบินและสายการบินร่วม 3 ราย ได้แก่ แอร์เซเชลส์ (Air Seychelles) คอนดอร์ (Condor) และออริกนี (Aurigny) เพื่อเพิ่มทางเลือกในการเชื่อมต่อการเดินทางให้แก่ลูกค้าทั่วโลก
ระหว่างวันที่ 1 เมษายน 2568 ถึง 30 กันยายน 2568 เอมิเรตส์ได้รับมอบเครื่องบิน แอร์บัส A350 จำนวน 5 ลำใหม่ เสริมที่นั่งชั้นธุรกิจและชั้นประหยัดพรีเมียมเข้าสู่ฝูงบิน ในช่วงเวลาเดียวกัน เครื่องบินจำนวน 23 ลำ (แอร์บัส A380 จำนวน 6 ลำ และโบอิ้ง 777 จำนวน 17 ลำ) ได้รับการปรับปรุงภายในใหม่ทั้งหมด ภายใต้โครงการปรับโฉมมูลค่า 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อยกระดับประสบการณ์ผู้โดยสาร พร้อมติดตั้งผลิตภัณฑ์ภายในห้องโดยสารรุ่นล่าสุด รวมถึง ชั้นประหยัดพรีเมียมที่ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม ปัจจุบันผู้โดยสารสามารถเลือกใช้บริการชั้นโดยสารนี้ได้ในเส้นทางระหว่างดูไบและ 61 เมืองทั่วโลก
ในส่วนของการบริการภาคพื้นดิน เอมิเรตส์ได้เปิดตัว “Emirates First” พื้นที่เช็กอินสุดหรูแห่งใหม่ที่สนามบินนานาชาติดูไบ มอบประสบการณ์พิเศษสำหรับลูกค้าชั้นหนึ่งและสมาชิกระดับแพลทินัมของ Emirates Skywards ในช่วงครึ่งปีแรกของปีงบประมาณ 2568-2569 เอมิเรตส์ยังได้เร่งเดินหน้ากลยุทธ์ค้าปลีก (retail strategy) ด้วยการเปิดตัวร้านค้าปลีกในหลายเมืองสำคัญ ได้แก่ อักกรา กรุงเทพฯ เจนีวา จาการ์ตา มอริเชียส โอซาก้า โซล และสิงคโปร์
ในด้านความยั่งยืน เอมิเรตส์ยังคงดำเนินการตามพันธกิจด้านสิ่งแวดล้อม โดยใช้เชื้อเพลิงการบินที่ยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel: SAF) ในเส้นทางที่มีความพร้อมและเอื้ออำนวย รวมแล้วกว่า 37 สนามบินทั่วโลก ทั้งยังเข้าร่วมเป็นสมาชิกของ Aviation Circularity Consortium (ACC) ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา เพื่อร่วมผลักดันเศรษฐกิจหมุนเวียนในอุตสาหกรรมการบิน และสร้างแนวทางใหม่ในการลดการปล่อยคาร์บอนผ่านการหมุนเวียนทรัพยากรในห่วงโซ่อุปทานระดับโลก
ในช่วงครึ่งแรกของปีงบประมาณนี้ เอมิเรตส์ยังได้ลงทุนเชิงกลยุทธ์เพื่อเสริมภาพลักษณ์แบรนด์ในระดับโลก โดยลงนามสัญญาสปอนเซอร์ระยะยาวในฐานะ Platinum Partner ของสโมสร FC Bayern München, ผู้สนับสนุนหลักของทีมบาสเกตบอล Real Madrid และพันธมิตรหลักและสายการบินอย่างเป็นทางการของการแข่งขัน Investec Champions Cup และ European Professional Club Rugby (EPCR) Challenge Cup นอกจากนี้ เอมิเรตส์ยังขยายความร่วมมือกับ ATP Tour ในฐานะพันธมิตรระดับ Premier Partner และสายการบินอย่างเป็นทางการต่อเนื่องถึงปี 2573 รวมถึงต่อสัญญาสนับสนุนเสื้อทีมกับ สโมสร Olympique Lyonnais ถึงปีเดียวกัน
ในช่วงครึ่งแรกของปีงบประมาณ 2568-2569 ความสามารถในการให้บริการโดยรวมของเอมิเรตส์เพิ่มขึ้น 5% อยู่ที่ 31.3 พันล้านตันกิโลเมตร (Available Tonne Kilometres – ATKM) จากการขยายเที่ยวบินและการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง ความจุที่วัดเป็นที่นั่งต่อกิโลเมตรพร้อมให้บริการ (ASKM) เพิ่มขึ้น 5% ขณะที่ปริมาณการเดินทางของผู้โดยสาร (Revenue Passenger Kilometres – RPKM) เพิ่มขึ้น 4% โดยมีอัตราการบรรจุที่นั่งเฉลี่ย 79.5% เมื่อเทียบกับ 80.0% ในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า เอมิเรตส์ให้บริการผู้โดยสารรวมทั้งสิ้น 27.8 ล้านคน ระหว่างวันที่ 1 เมษายน ถึง 30 กันยายน 2025 เพิ่มขึ้น 4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ด้านธุรกิจขนส่งสินค้า เอมิเรตส์ สกายคาร์โก (Emirates SkyCargo) ขนส่งสินค้ารวม 1.25 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 4% จากปีก่อนหน้า สะท้อนถึงความต้องการที่มั่นคงต่อบริการขนส่งสินค้าพิเศษและเครือข่ายการให้บริการที่ครอบคลุม ทั้งในส่วนของเครื่องบินขนส่งสินค้าและการบรรทุกใต้ท้องเครื่อง อย่างไรก็ตาม อัตราผลตอบแทนจากการขนส่งสินค้าลดลง 6% เนื่องจากความต้องการในบางตลาดชะลอตัวจากความกังวลเรื่องอัตราภาษี
เอมิเรตส์ สกายคาร์โก (Emirates SkyCargo) ยังได้รับมอบเครื่องบิน โบอิ้ง 777 แบบขนส่งสินค้าใหม่ 3 ลำ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการให้บริการ และในเดือนเมษายนที่ผ่านมาได้เปิดตัว “Emirates Courier Express” ผลิตภัณฑ์ขนส่งด่วนแบบ door-to-door สำหรับลูกค้าองค์กร ที่ต่อยอดจากเครือข่ายระดับโลกของสายการบิน เพื่อยกระดับบริการขนส่งเชิงพาณิชย์ให้มีความรวดเร็วและยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น
เอมิเรตส์ตอกย้ำความเป็นผู้นำในฐานะสายการบินที่ทำกำไรสูงที่สุดในโลก โดยมีกำไรก่อนหักภาษีในช่วงครึ่งปีแรกอยู่ที่ 11.4 พันล้านดีแรห์ม (3.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพิ่มขึ้นจาก 9.7 พันล้านดีแรห์ม (2.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในปีที่แล้ว ขณะที่ กำไรสุทธิหลังหักภาษีอยู่ที่ 9.9 พันล้านดีแรห์ม (2.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพิ่มขึ้น 13% จากปีก่อนหน้า
รายได้รวมของสายการบิน (รวมรายได้จากการดำเนินงานอื่น ๆ) อยู่ที่ 65.6 พันล้านดีแรห์ม (17.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพิ่มขึ้น 6% จาก 62.2 พันล้านดีแรห์ม (16.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยรายได้ระดับสถิติใหม่นี้เป็นผลมาจากความต้องการเดินทางระหว่างประเทศที่ยังคงแข็งแกร่ง และความนิยมของลูกค้าที่มีต่อผลิตภัณฑ์และบริการของเอมิเรตส์ โดยเฉพาะในชั้นโดยสารพรีเมียม
ต้นทุนการดำเนินงาน (รวมเชื้อเพลิง) เพิ่มขึ้น 4% สอดคล้องกับปริมาณการดำเนินงานที่สูงขึ้น โดยเชื้อเพลิงยังคงเป็นต้นทุนหลักของสายการบิน คิดเป็น 30% ของต้นทุนการดำเนินงานทั้งหมด
อันเนื่องมาจากความต้องการของผู้โดยสารและการขยายการดำเนินงานในช่วงครึ่งปี เอมิเรตส์มีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ที่แข็งแกร่งอยู่ที่ 19.7 พันล้านดีแรห์ม (5.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพิ่มขึ้น 3% จาก 19.1 พันล้านดีแรห์ม (5.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
Emirates Flight Catering มีรายได้จากลูกค้าภายนอกเพิ่มขึ้น 13% อยู่ที่ 555 ล้านดีแรห์ม (151 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ให้บริการอาหารกว่า 7.7 ล้านมื้อ (เพิ่มขึ้น 2%) ให้กับสายการบินพันธมิตร 116 แห่งในช่วงครึ่งปีแรกนี้
ขณะเดียวกัน Emirates Leisure Retail ได้เข้าซื้อหุ้นที่เหลืออีก 25% ในบริษัท Air Ventures LLC ในสหรัฐอเมริกา ส่งผลให้เอมิเรตส์ถือหุ้นทั้งหมดในธุรกิจดังกล่าว ซึ่งดำเนินกิจการร้านอาหารและร้านค้าปลีกในสนามบินด้วยเช่นกัน

