สังคมไทยกำลังก้าวเข้าสู่ยุคแห่งความตระหนักรู้และเข้าใจในความหลากหลายที่เกิดกับสมองมากขึ้น โดยเฉพาะ ภาวะสมาธิสั้น ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงอาการซนอย่างที่หลายคนเคยเข้าใจ แต่เป็นความผิดปกติทางสมองที่ส่งผลต่อการควบคุมตนเองและการจดจ่อ
และเมื่อเร็วๆ นี้ งาน เปิดหัวใจ เข้าใจสมาธิสั้น ปลดล็อกศักยภาพที่แท้จริง ได้มาเปิดมุมมองใหม่ให้แก่สังคมรับรู้ว่าภาวะสมาธิสั้น แท้จริงแล้วไม่ใช่ข้อจำกัด แต่คือ ศักยภาพที่รอการปลดล็อก เพราะเมื่อผู้ที่มีภาวะสมาธิสั้นได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง จะช่วยให้เขาแสดงศักยภาพของตัวเองได้อย่างเต็มที่
งานนี้มี 10 ภาคีเครือข่ายมาร่วมมือกันจัด ได้แก่ แพทยสมาคมแห่งประเทศไทยฯ สมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย ชมรมจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นแห่งประเทศไทย สมาคมพัฒนาการและพฤติกรรมเด็ก สมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย กรุงเทพมหานคร บริษัท ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป จำกัด บริษัท ยูนิชาร์ม (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท การ์ตูน คลับ มีเดีย จำกัด และบริษัท ทาเคดา (ประเทศไทย) จำกัด โดยได้รับเกียรติจากคุณชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธานเปิดงาน
ไฮไลต์สำคัญของงาน คือ การเปิดพื้นที่แบ่งปันความรู้ผ่านการเสวนาในหัวข้อ การสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับภาวะสมาธิสั้นอย่างถูกต้อง และ ภาวะสมาธิสั้นกับการใช้ชีวิตในสังคมปัจจุบัน รวมถึง Inspire Talk ที่มีบุคคลต้นแบบจากหลายแวดวงในสังคมมาให้มุมมองและสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้มีภาวะสมาธิสั้น
คนไทยป่วยสมาธิสั้นเกือบสูงสุดในโลก ชวนทุกฝ่ายร่วมกันปลดล็อก
ศ.เกียรติคุณ นพ.รณชัย คงสกนธ์ อดีตแพทยสมาคมแห่งประเทศไทยฯ กล่าวว่า อัตราการป่วยด้วยโรคสมาธิสั้นในคนไทยสูงถึง 5-8% เกือบสูงสุดเมื่อเทียบกับนานาประเทศ เฉลี่ยแล้วห้องเรียน 1 ห้อง จะมีเด็กสมาธิสั้น 1-2 คน แต่ผู้ปกครองหลายคนไม่อยากพาบุตรหลานมาพบแพทย์ เพราะกังวลว่าจะถูกมองว่าเป็นโรคจิตเวช
ซึ่งความจริงแล้ว โรคนี้เกี่ยวข้องกับการทำงานผิดปกติของสมอง โดยมีปัจจัยจากกรรมพันธุ์ถึง 75% ซึ่งหากไม่รักษาจะทำให้เด็กไม่สามารถใช้ศักยภาพของตนเองได้เต็มที่ เสมือนขับรถที่ติดเบรกมือไว้ หลายเคสเมื่อหายแล้วสามารถเรียนได้ดีและสอบได้ทุนตามศักยภาพของเขา
ในทางกลับกัน ผู้ป่วยที่มีพฤติกรรมหุนหันพลันแล่นที่ไม่ได้รักษาอาจก่อให้เกิดความสูญเสียโดยเฉพาะการทะเลาะวิวาททำร้ายกัน ดังนั้น ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันสร้างการรับรู้ สังเกตและแนะนำให้ผู้ป่วยเข้ารับการดูแลอย่างถูกต้อง เพื่อเป็นการปลดล็อกให้พวกเขาได้พัฒนาตนเองได้เต็มที่ และเป็นกำลังที่สำคัญของประเทศต่อไป
รู้จักอาการสมาธิสั้น พร้อมไขกุญแจสำคัญสู่การรักษา
พญ.ศุภรา เชาว์ปรีชา ตัวแทนนายกสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย ได้ฉายภาพอาการของโรคสมาธิสั้นเพื่อให้ทุกคนได้สังเกตตัวเองและคนรอบข้าง โดยกล่าวว่า การแสดงออกของโรคนี้มีความแตกต่างกันตามพัฒนาการในแต่ละช่วงวัย ในวัยเด็กอาการจะเห็นชัด โดยจะมีการเคลื่อนไหวทางกายที่มากกว่าปกติ หุนหันพลันแล่น ชอบทำกิจกรรมตื่นเต้นหวาดเสียว ส่วนวัยผู้ใหญ่ แม้พัฒนาการจะช่วยให้พวกเขาปรับปรุงพฤติกรรมได้ดีขึ้น แต่ร่องรอยของความหุนหันพลันแล่นจะยังคงอยู่และมักส่งผลกระทบชัดเจนต่อความสัมพันธ์ โดยเฉพาะปัญหาที่เกิดจากความใจร้อน อารมณ์หงุดหงิดพุ่งเร็ว มีปากเสียงง่าย นอกจากนี้ อาจสังเกตได้ว่ามีอาการที่ดูยุกยิก กระวนกระวาย ไม่ค่อยนิ่ง โดยเฉพาะเวลาทำงานที่มักจะไม่เสร็จเป็นชิ้นเป็นอัน หรือทำงานได้แต่มักจะหลุดรั่ว
สำหรับการวินิจฉัยโรค รศ.นพ.ณัทธร พิทยรัตน์เสถียร ประธานชมรมจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นแห่งประเทศไทย อธิบายว่าจะใช้เกณฑ์จากการประเมินอาการเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม อาการบางอย่างอาจคล้ายคลึงกับโรคทางกายอื่น และมักมีภาวะอื่นร่วมด้วย เช่น ดื้อ ต่อต้าน และวิตกกังวล ซึ่งผู้ที่มีบทบาทสำคัญในกระบวนการรักษา คือ ผู้ปกครอง เพราะข้อมูลจากผู้ปกครองจะเป็นหัวใจสำคัญที่นำไปสู่การวินิจฉัยที่แม่นยำ
โดยแนวทางการรักษานั้นโดยทั่วไปจะเริ่มจากการปรับพฤติกรรม ซึ่งผู้ปกครองสามารถช่วยได้มากในการจัดระบบการดูแลและลดสิ่งเร้าในสภาพแวดล้อม เพื่อช่วยให้เด็กสงบลง ซึ่งในบางราย การปรับการดูแลที่ดีจะทำให้อาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และแม้ว่าการใช้ยาจะช่วยให้สมองทำงานดีขึ้น แต่การปรับพฤติกรรมก็ยังคงต้องทำควบคู่กัน
ด้าน ศ.นพ.วิฐารณ บุญสิทธิ ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย ได้ชี้ให้เห็นถึงอุปสรรคใหญ่ของการเข้าถึงการรักษา อุปสรรคแรก คือ ความไม่รู้ เพราะผู้ปกครองส่วนมากเข้าใจผิดคิดว่าอาการซน อยู่ไม่นิ่ง หรือการทำงานสะเพร่าของบุตรหลาน เป็นเพียงเพราะซน ดูจอมากเกินไป หรือขี้เกียจ จึงละเลยที่จะพาไปพบแพทย์
อุปสรรคที่สอง คือ ความกลัว ผู้ปกครองบางส่วนมองว่าโรคนี้เป็นโรคที่น่ากลัวจึงเลือกที่จะไม่พามาพบแพทย์ ซึ่งความจริงแล้วโรคนี้มียาจำเพาะที่ใช้มานานเกือบ 80 ปี มีประสิทธิภาพและปลอดภัย และการรักษาไม่ได้มีเป้าหมายแค่การลดอาการที่เป็นอุปสรรค แต่ยังป้องกันผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในระยะยาว ทั้งในด้านการเรียน สภาพจิตใจ และความสัมพันธ์กับผู้อื่น การรักษาจึงเป็นการเพิ่มศักยภาพให้ผู้มีภาวะสมาธิสั้นประสบความสำเร็จได้ดีขึ้น และเพิ่มคุณภาพชีวิตให้แก่ตนเองและครอบครัว
รู้เร็วยิ่งดี แนะ “บ้าน-โรงเรียน-สาธารณสุข” ร่วมด้วยช่วยกัน
ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวถึงบทบาทของกรุงเทพมหานครในการดูแลผู้ที่มีภาวะสมาธิสั้นว่า การดูแลควรทำแบบองค์รวม ต้องอาศัยความร่วมมือที่เข้มแข็งระหว่างบ้าน โรงเรียน สาธารณสุข ในส่วนของพ่อแม่ต้องเข้าใจอาการเบื้องต้นที่เกิดกับลูก ส่วนครูเป็นคนที่อยู่ใกล้ชิดกับเด็ก หากครูเข้าใจอาการจะทำให้เด็กได้รับการดูแลได้ดีขึ้น ทางด้านสาธารณสุข
ปัจจุบันกรุงเทพมหานครมีศูนย์สาธารณสุขทั่วกรุงเทพฯ ที่สามารถช่วยดูแลโดยทำงานร่วมกับโรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานคร สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องของผู้ปกครอง และขอให้ผู้ปกครองอย่ากลัวที่จะเปิดเผยหรือพาบุตรหลานมาตรวจ ถ้ารู้เร็วยิ่งดี เพราะจะนำไปสู่การแก้ไขที่เหมาะสมได้ทันเวลา
สมาธิสั้นไม่ใช่ข้อจำกัดในการเป็นนักกีฬา
นาวาอากาศเอก (พิเศษ) นพ.ไพศาล จันทรพิทักษ์ ประธานฝ่ายแพทย์ สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย กล่าวว่า กีฬาเป็นเครื่องมือบำบัดและฝึกสมาธิที่มีประสิทธิภาพสำหรับผู้ที่มีภาวะสมาธิสั้น เพราะกีฬาทุกประเภทต้องอาศัยสมาธิเป็นพื้นฐาน และมีกฎ กติกา ระเบียบที่ชัดเจน เด็กที่มาเล่นกีฬานอกจากจะได้เรื่องสุขภาพแล้ว ยังต้องปฏิบัติตามกฎกติกา ซึ่งจะช่วยปรับพฤติกรรม มีการควบคุมตนเอง และสามารถฝึกสมาธิให้ดีขึ้นได้ การที่สมาคมกีฬารวมทั้งอะคาเดมีแต่ละแห่งมีการฝึกสอนกีฬาประเภทต่าง ๆ นับว่ามีบทบาทสำคัญที่จะช่วยให้เด็ก ๆ ได้ปรับตัวให้เข้ากับผู้อื่น และเป็นการสนับสนุนผู้เล่นที่มีภาวะสมาธิสั้นให้ได้แสดงศักยภาพออกมา
ทางด้านอดีตนักฟุตบอลทีมชาติ กวินทร์ ธรรมะสัจจานนท์ ได้ให้กำลังใจผู้มีภาวะสมาธิสั้นที่มีความฝันอยากเป็นนักกีฬาว่า อยากให้น้อง ๆ เปลี่ยนมุมมองใหม่ อย่ามองว่าสิ่งที่ตนเองเป็นคือจุดอ่อน แต่ให้มั่นใจในตัวเอง มองหาและใช้ประโยชน์จากสิ่งที่เราเป็น เช่น การมีพลังงานที่เหลือล้นของเด็กที่มีภาวะสมาธิสั้นซึ่งเป็นคุณสมบัติที่นักกีฬาต้องการ นำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ขอให้น้องค้นหาความชอบและจุดเด่นของตัวเองให้เจอ และพัฒนาจากจุดนั้น อย่างไรก็ตาม การสนับสนุนจากคนรอบข้างถือว่ามีความสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นผู้ปกครอง โค้ช เพื่อน ๆ ต้องเข้าใจ ให้กำลังใจ สนับสนุน ช่วยให้พวกเขาเห็นความสำคัญของตัวเอง และค้นหาความสามารถของตนเองให้เจอ
นอกจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มาให้ความรู้แล้ว ในงานยังมีกิจกรรมที่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจและแลกเปลี่ยนความรู้ อาทิ การเสวนาหัวข้อ “Raising awareness of ADHD understands” ที่สร้างความเข้าใจที่ถูกต้องต่อภาวะสมาธิสั้น การเสวนาหัวข้อ “A Panel Discussion of ADHD” เพื่อแบ่งปันประสบการณ์จริงจากแพทย์ ผู้ป่วย และนักเขียนที่เป็นแรงบันดาลใจ และ “ADHD Inspire Talk” ที่มีบุคคลต้นแบบ ทั้งนักการศึกษา นักกีฬาทีมชาติ และอินฟลูเอนเซอร์รุ่นใหม่ มาให้มุมมองต่อภาวะสมาธิสั้น
งาน “เปิดหัวใจ เข้าใจสมาธิสั้น ปลดล็อกศักยภาพที่แท้จริง” จึงเป็นอีกหนึ่งงานสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนสังคมไทยให้ก้าวข้ามความเข้าใจผิดในอดีต และหันมามองภาวะสมาธิสั้นด้วยความเข้าใจ เพื่อให้ผู้ที่มีภาวะนี้ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ สามารถเข้าถึงศักยภาพสูงสุดของตนเอง และเติบโตอย่างมีคุณภาพและมีความสุข
หมายเหตุ
ภายใต้ความร่วมมือของ 10 ภาคีเครือข่ายในประเทศไทยเพื่อเสริมสร้างความตระหนักรู้และเข้าใจในโรคสมาธิสั้นข้อมูลในเอกสารฉบับนี้จัดทำขึ้นสำหรับประชาชนเป็นการทั่วไป โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการให้ข้อมูลเท่านั้น ข้อมูลไม่ควรนำไปเพื่อวินิจฉัยหรือรักษาปัญหาสุขภาพหรือโรคใดๆ การให้ข้อมูลดังกล่าวนี้ไม่มีวัตถุประสงค์เป็นการทดแทนการปรึกษากับผู้ให้บริการทางการแพทย์ โปรดปรึกษาผู้ให้บริการทางการแพทย์ของท่านสำหรับคำแนะนาเพิ่มเติม