“เอกา โกลบอล” ผู้นำตลาดนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์แห่งอนาคต ตอกย้ำศักยภาพยกขบวนแพ็กเกจจิ้งช่วยยืดอายุอาหาร – กรีนโปรดักส์ ร่วมงานแสดงสินค้าอาหารและเครื่องดื่มระดับโลก THAIFEX-ANUGA ASIA 2025 ชูนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ช่วยยืดอายุอาหารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แก้เกมตลาดผันผวน ตอบโจทย์ผู้บริโภครับกระแสเมกะเทรนด์ความยั่งยืนและฟู้ดเวลเนส
ชัยวัฒน์ นันทิรุจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอกา โกลบอล จำกัด (EKA GLOBAL) ผู้นำตลาดนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหาร (Longevity Packaging) เปิดเผยว่า ประเทศไทยยังคงเป็นหนึ่งประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่กำลังมีอิทธิพลสำคัญในการขับเคลื่อนเทรนด์อาหารโลก สะท้อนจากตัวเลขส่วนแบ่งตลาดของการท่องเที่ยวเชิงอาหารทั่วโลกที่อาหารเอเชียแปซิฟิกมีสัดส่วนส่วนกว่า 37.8% และมีแนวโน้มจะเติบโตถึง 6.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2033
ขณะที่เทรนด์ผู้บริโภคทั่วโลกยังให้ความสำคัญกับเมกะเทรนด์แห่งความยั่งยืน ทำให้ความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมีปริมาณสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงกระแสอาหารเพื่อสุขภาพ หรือการกิน – อยู่ – เพื่อสุขภาพที่ดี (Food Wellness) เป็นราคาที่ผู้บริโภคยอมจ่ายให้กับตัวเองและสัตว์เลี้ยง
ทั้งนี้ “เอกา โกลบอล” ตอกย้ำศักยภาพของบริษัทฯ ในฐานะผู้นำตลาดนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหาร (Longevity Packaging) แบรนด์คนไทยเบอร์ใหญ่อันดับต้น ๆ ของโลก เตรียมยกขบวนบรรจุภัณฑ์แห่งอนาคต บรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหาร และบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (กรีนโปรดักส์) ทั้งกลุ่มอาหารพร้อมรับประทาน (Ready-To-Eat) และอาหารสัตว์เลี้ยงพรีเมียม (Pet-Food) ออกบูธในงานแสดงสินค้าอาหารและเครื่องดื่มระดับโลกและครบวงจรที่สุดในเอเชีย THAIFEX-ANUGA ASIA 2025 เปิดให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมอาหารที่กำลังมองหาโซลูชั่นเพื่อยกระดับศัยกภาพธุรกิจก้าวสู่ตลาดโลก ภายใต้สภาวะการณ์ความไม่นอนของเศรษฐกิจ เยี่ยมชมนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหาร
พร้อมรับคำปรึกษาฟรี ได้ที่บูธ EKA GLOBAL หมายเลข 1-UU68 ระหว่างวันที่ 27 – 31 พฤษภาคม 2568 ณ อาคารชาเลนเจอร์ 1 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี
“ในงานปีนี้ เอกา โกลบอล ยังคงมุ่งเน้นโซลูชั่นบรรจุภัณฑ์ด้าน Sustainable เพราะทั่วโลก ทั้งยุโรปและอเมริกาที่เป็นคู่ค้าหลักต่างให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อย่างมาก ประกอบกับเรื่องภาษีที่ผู้นำอเมริกาเพิ่งประกาศเพิ่มอัตราภาษีสำหรับสินค้าที่จัดส่งจากประเทศไทย รวมถึงคู่แข่งจากจีนที่เข้ามาเปิดตลาดในไทย เป็นปัจจัยที่ต้องระมัดระวัง ในส่วนของตลาดอินเดีย น่าจะเป็นตลาดที่มีความสำคัญอย่างมากในปีนี้ เนื่องจากมีการเติบโตสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด”