อาหารเพื่อสุขภาพถือเป็น Mega Trend ที่ผู้บริโภคให้การตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่อง และกลายเป็นหมัดเด็ดในการเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารที่อยู่ในตลาดมาอย่างยาวนาน เช่น กลุ่มผลิตภัณฑ์เส้นก๋วยเตี๋ยว โดยมีหลากหลายแบรนด์อยู่ในตลาด
หนึ่งในนั้นคือแบรนด์จาก “ไทยวา กรุ๊ป” หนึ่งในผู้นำธุรกิจอาหารในประเทศไทย ซึ่งได้ประกาศโรดแมป “Thai Wah 2030” กับแนวทางสร้างการเติบโตทางธุรกิจ โดยมีกลุ่มสินค้าเพื่อสุขภาพเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่สำคัญ
ไทยวา กรุ๊ป ก่อตั้งขึ้นในปี 2490 ดำเนินธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรม และอาหาร แบ่งเป็น 3 กลุ่มหลัก คือ ผลิตภัณฑ์แป้ง ผลิตภัณฑ์อาหาร และผลิตภัณฑ์ที่ย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ จัดจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ แบรนด์ที่ทุกคนรู้จักกันดีเช่น มังกรคู่ หงส์ กิลเลนคู่ ฯลฯ
ปัจจุบันไทยวาเป็นผู้นำในตลาดส่วนผสมอาหารและเส้นก๋วยเตี๋ยว ด้วยการขยายธุรกิจและการเข้าซื้อกิจการในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไทยวาจึงมียอดขายที่มั่นคง 1 หมื่นล้านบาทมาตลอด 3 ปีที่ผ่านมา โดยส่งออกสินค้าไปยังกว่า 35 ประเทศทั่วโลก โดยให้ความสำคัญกับคุณภาพและนวัตกรรม ทำให้ได้รับการยอมรับว่าเป็นแบรนด์เก่าแก่ที่มีคุณภาพและสร้างสรรค์ในอุตสาหกรรมอาหาร
ล่าสุด “ไทยวา กรุ๊ป” ได้ประกาศผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2568 ตอกย้ำหนึ่งในผู้นำในอุตสาหกรรมอาหาร โดยมียอดขายรวม 2,299 ล้านบาท และมี EBITDA 285 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนกำไร 12% ของยอดขาย ส่วนกำไรจากการดำเนินงานหลักอยู่ที่ 171 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าถึง 50% นอกจากนี้ กำไรสุทธิอยู่ที่ 117 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมากกว่า 77% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
ผลสำเร็จเหล่านี้เกิดจากการผลักดันกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีสัดส่วนกำไรสูง การบริหารจัดการต้นทุน และการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน โดยธุรกิจอาหารของไทยวาเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์พร้อมรับประทาน (Ready-to-Eat) ที่ได้รับความนิยมหลังจากเปิดตัว ในขณะที่กลุ่มผลิตภัณฑ์หลักอื่น ๆ ในไทยและเวียดนามมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด บริษัทฯ ได้ผนึกกำลังกับ ฟูจิ นิฮอน คอร์ปอเรชัน เสริมความแข็งแกร่งในการขยายไปยังตลาดส่วนผสมอาหารในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
นอกจากการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง บริษัทฯ ยังตั้งเป้าในการเป็นผู้เล่นในตลาดอาหารเพื่อสุขภาพมูลค่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ ของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยนำเสนอผลิตภัณฑ์กลุ่มสินค้าเพื่อสุขภาพ ผลิตภัณฑ์ Clean-label รวมถึงผลิตภัณฑ์ปราศจากกลูเตน และปลอด GMO เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพ การเดินหน้าปรับพอร์ทโฟลิโอนี้ส่งผลให้ไทยวามี EBITDA และอัตรากำไรสุทธิที่ดีขึ้น จากการเน้นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงและพรีเมียมมากขึ้น
โรดแมป “Thai Wah 2030″
ไทยวา กรุ๊ป ยังได้เปิดตัวโรดแมป “Thai Wah 2030” มีเป้าหมายหลักคือการสร้างการเติบโต พัฒนานวัตกรรม และดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนในอุตสาหกรรมอาหารระดับโลก ผ่านการสร้างธุรกิจหลักให้แข็งแกร่ง การลงทุนในธุรกิจที่มีโอกาสเติบโตสูง และดำเนินการตามแนวทางด้านความยั่งยืน เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้ในระดับสากล
โดยนับตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา ธุรกิจอาหาร ธุรกิจแป้งมันสำปะหลังมูลค่าเพิ่ม (High-Value Application หรือ HVA) ธุรกิจในประเทศเวียดนาม และผลิตภัณฑ์พร้อมรับประทาน (Ready-to-Eat) ของไทยวา มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในอัตราเลข 2 หลักมาตลอด 5 ปี ในขณะเดียวกัน ไทยวายังคงให้ความสำคัญกับนวัตกรรมและความยั่งยืน และการขยายพอร์ทโฟลิโอผลิตภัณฑ์อย่างหลากหลายเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น
โฮ เรน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ไทยวา กรุ๊ป เปิดเผยว่า ไทยวาเดินหน้าพลิกโฉมองค์กรครั้งสำคัญ มุ่งสู่เป้าหมายปี 2573 ผ่านการขับเคลื่อน 3 กลยุทธ์หลัก ประกอบด้วย
1.เดินหน้าปรับพอร์ทโฟลิโอ ไทยวาตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนของผลิตภัณฑ์อาหาร และผลิตภัณฑ์แป้งมันสำปะหลังมูลค่าเพิ่ม ให้เป็น 2 เท่าภายในปี 2573 โดยจะเน้นกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ทำยอดขายได้สูงที่สุด และขยายไปยังตลาดใหม่ๆ กลยุทธ์นี้ยังรวมถึงการเพิ่มสินค้าให้หลากหลายนอกเหนือจากวุ้นเส้น เช่น แผ่นแป้งข้าวเจ้า เส้นมันเทศ วุ้นเส้นสด วุ้นเส้นแห้ง ก๋วยเตี๋ยวเซี่ยงไฮ้ (Bean sheet) ผลิตภัณฑ์พร้อมรับประทานแบบซอง เส้นหมี่สด เส้นหมี่แห้ง เส้นก๋วยเตี๋ยวออร์แกนิก รวมถึงผลิตภัณฑ์พร้อมปรุงและพร้อมรับประทานต่าง ๆ
นอกจากนี้ บริษัทยังตั้งเป้าในการเป็นผู้เล่นในตลาดอาหารเพื่อสุขภาพมูลค่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ ของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยนำเสนอผลิตภัณฑ์กลุ่มสินค้าเพื่อสุขภาพ ผลิตภัณฑ์ Clean-label รวมถึงผลิตภัณฑ์ปราศจากกลูเตน และปลอด GMO เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพ การเดินหน้าปรับพอร์ทโฟลิโอนี้ส่งผลให้ไทยวามี EBITDA และอัตรากำไรสุทธิที่ดีขึ้น จากการเน้นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงและพรีเมียมมากขึ้น
2.ขยายสู่ตลาดศักยภาพสูง ไทยวากำลังมุ่งขยายธุรกิจไปยังภูมิภาคที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง เช่น ตะวันออกกลาง ยุโรป เอเชียแปซิฟิก และจีน โดยตั้งเป้าที่จะเป็นผู้นำตลาด 1 ใน 3 ของกลุ่มผลิตภัณฑ์หลักในตลาดเหล่านี้ให้ได้ภายในปี 2573 โดยจะสร้างการรับรู้และการมีส่วนร่วมกับลูกค้า ผ่านการพัฒนานวัตกรรมและความร่วมมือต่างๆ ปัจจุบัน ไทยวามีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงเทพฯ และขยายธุรกิจไปในต่างประเทศ โดยมีสำนักงานขาย การตลาด การจัดจำหน่าย และซัพพลายเชน รวม 10 แห่ง ใน 7 ประเทศ เพื่อให้สามารถเข้าถึงลูกค้าได้ทั่วถึงและรวดเร็วยิ่งขึ้น
3.เพิ่มประสิทธิภาพด้านต้นทุนและสัดส่วนผลกำไร ธุรกิจแป้งมันสำปะหลังซึ่งเป็นธุรกิจหลักของไทยวา ยังคงสร้างรายได้และกำไรอย่างต่อเนื่อง ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ยกระดับประสิทธิภาพการผลิตและขั้นตอนการดำเนินงาน โดยได้ริเริ่มโครงการต่างๆ ที่จะช่วยเพิ่มสัดส่วนกำไร เช่น การปรับปรุงต้นทุนในส่วนซัพพลายเชน การเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการผลิต และการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม
ส่วนโมเดลของธุรกิจ HVA ของไทยวา มีการจัดการที่ดีตั้งแต่การจัดซื้อวัตถุดิบ ไปจนถึงการจัดจำหน่าย ซึ่งเครือข่ายการขายและการจัดจำหน่ายอาหาร B2B ของบริษัทฯ ถือเป็นหนึ่งในเครือข่ายที่แข็งแกร่งที่สุดในเอเชียแปซิฟิก โดยมีสำนักงานในอินเดีย อินโดนีเซีย และล่าสุดคือฟิลิปปินส์ โดยธุรกิจ HVA และโซลูชันแป้งมันสำปะหลังและส่วนประกอบอาหารที่ออกแบบได้ตามความต้องการของลูกค้า นับเป็นธุรกิจสำคัญที่สร้างการเติบโตอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันไทยวามีลูกค้า HVA มากกว่า 100รายทั่วโลก
“ไทยวา ตั้งเป้าที่จะก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในผู้นำด้านอาหารของเอเชีย ภายในปี 2573 โดยจะพัฒนานวัตกรรมควบคู่กับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนในทุกด้านอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ แม้ว่าเศรษฐกิจโลกจะผันผวน และมีเรื่องภาษีที่ต้องบริหารจัดการ แต่เราต้องเร่งปรับตัว เพิ่มความยืดหยุ่น และพร้อมตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปอยู่เสมอ ไทยวาจะเดินหน้าพัฒนาเพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์อาหารให้กับผู้บริโภคในเอเชีย และสร้างความมั่นคงทางอาหารในภูมิภาคนี้ ด้วยความแข็งแกร่งด้านการขาย การตลาด และการจัดจำหน่าย ทั้งในกลุ่มลูกค้า B2B และ B2C ภายใต้เป้าหมายที่เป็นเลิศ คือการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ให้ได้มากกว่า 10 รายการในทุกปี”
แม้ว่าสภาพเศรษฐกิจจะยังมีความท้าทาย แต่ไทยวายังคงมุ่งมั่นที่จะสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผู้ถือหุ้น บริษัทฯ จะเร่งพัฒนาสินค้าในกลุ่มอาหาร และดำเนินโครงการต่างๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านต้นทุน ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มกำไร โดยตั้งเป้าว่าในปี 2569 จะมี EBITDA อย่างน้อย 1 พันล้านบาทต่อปี และต่อเนื่องในปีต่อๆ ไปจนถึง 2573 ซึ่งคาดว่ากลุ่มธุรกิจอาหารจะสร้างรายได้ให้กับบริษัทประมาณ 4,000 ล้านบาท
จับตาเทรนด์อาหารเพื่อสุขภาพ
กลุ่มธุรกิจอาหารมีแนวโน้มการเติบโตที่อย่างน่าจับตามอง นอกจากการพัฒนานวัตกรรมอาหารอย่างต่อเนื่องแล้ว ไทยวายังมุ่งหน้าให้ความสำคัญกับกลุ่มสินค้าเพื่อสุขภาพ อาทิ
- การนำเสนอผลิตภัณฑ์เส้นแบบออร์แกนิก สำหรับตลาดส่งออก ตอบรับ Mega Trend ด้านสุขภาพ อันเป็นที่ต้องการของคนทั่วโลก
- การเปิดตัววุ้นเส้นตรามังกรคู่ BALANCE เป็นวุ้นเส้นแห้งเพื่อสุขภาพ ผลิตจากถั่วเขียว 100% ปราศจากสารเคมี ไม่ฟอกสี ไม่มีกลูเตน Low GI ค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ ปัจจุบันวางจำหน่ายในช่องทางโมเดิร์นเทรด และถือเป็นผลิตภัณฑ์ที่ตอบรับเทรนด์สุขภาพที่กำลังมาแรง โดยคาดว่าภายใน 5 ปีข้างหน้า แบรนด์ BALANCE จะมีผลิตภัณฑ์อย่างน้อย 4 รายการ และมีโอกาสในการขยายช่องทางการเติบโตด้วยการเข้าสู่กลุ่มสินค้าพร้อมรับประทาน (Ready to Eat) เพื่อกระตุ้นการเติบโตของตลาด
- การพัฒนาผลิตภัณฑ์กลุ่มเส้นที่ทำจากสาหร่ายเพื่อสุขภาพ ซึ่งเตรียมเปิดตัวในปีนี้
นอกจากนั้น ไทยวายังมุ่งมั่นในการพัฒนาสินค้านวัตกรรมเพื่อเพิ่มทางเลือกใหม่ให้กับผู้บริโภค ในกลุ่ม Ready to Eat เช่น
- เส้นเล็กตำปลาร้าตรามังกรคู่ ในรูปแบบซองตั้ง เน้นความสะดวกสบาย กินง่าย ได้รสชาติที่เทียบเคียงกับรับประทานที่ร้าน ในราคาซองละ 45 บาท
- ก๋วยเตี๋ยวเรือน้ำตกสูตรโบราณกึ่งสำเร็จรูป (วุ้นเส้นและเส้นเล็ก) ตรามังกรคู่ เรดดี้
ภาพรวมตลาดเส้นก๋วยเตี๋ยวสำหรับการปรุงอาหารในประเทศไทยมีประมาณ 7,000 ล้านบาท โดยมีสัดส่วนตลาดวุ้นเส้น มูลค่าประมาณ 3,600 ล้านบาท แบ่งเป็นวุ้นเส้นสด 2,600 ล้านบาท วุ้นเส้นแห้ง 1,000 ล้านบาท โดยภาพรวมของตลาดเส้นก๋วยเตี๋ยวอาจจะไม่เติบโตมากนัก แต่ยังมีโอกาสเพิ่มมูลค่าในกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรมและกลุ่มสินค้าเพื่อสุขภาพ ซึ่งเป็นแนวทางการเติบโตของกลุ่มอาหารของไทยวาได้ในอนาคต