ทั่วโลกเดินหน้าแก้วิกฤตโรคอุบัติใหม่ “เชื้อดื้อยา-ไวรัสซิก้า”

Published on

ได้ยินกันมามากกับคำว่า “ดื้อยา” บ้างก็ว่ามาจากการกินยาปฏิชีวนะมากเกินไป หรือ รับประทานไม่ครบจำนวนที่แพทย์สั่งยามาให้ จริงๆแล้วมันคืออะไร เกิดจากสาเหตุใด เป็นเรื่องที่ใกล้ตัวหรือไม่ เพราะการดื้อยาสำหรับคนทั่วไป อาจจะไม่ใช่เรื่องน่ากังวลอะไร แต่ในสถานการณ์โลกเป็นประเด็นที่ถูกจับตามองและหาแนวทางในการป้องกันและแก้ไขปัญหาที่อาจจะลุกลามจนคร่าชีวิตและสร้างผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ

เชื้อดื้อยา หรือ “เชื้อดื้อยาจุลชีพ” อธิบายได้ง่ายๆ ว่า ประสิทธิภาพของยาปฏิชีวนะที่เคยยับยั้งเชื้อแบคทีเรียได้ กลับทำไม่ได้เหมือนเดิม เพราะเชื้อแบคทีเรียเกิดการกลายพันธุ์ ทำให้การรักษาผู้ป่วยเป็นไปได้ยากขึ้น หรือต้องใช้ยาร่วมกันหลายชนิด จึงต้องมีค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น พร้อมพิษและผลข้างเคียงอีกมาก

องค์การอนามัยโลก ระบุว่า การดื้อยาของเชื้อแบคทีเรียเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ประสิทธิภาพของยาปฏิชีวนะที่ มีอยู่ลดลง และไม่มียาปฏิชีวนะชนิดใหม่มาทดแทน ทําให้ทุกประเทศทั่วโลกกําลังเข้าสู่ “ยุคหลังยาปฏิชีวนะ” (postantibiotic era) ที่การเจ็บป่วยจากการติดเชื้อเพียงเล็กน้อยอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต และที่สําคัญ คือ กําลังเข้าสู่ “การล่มสลายทางการแพทย์แผนปัจจุบัน” (collapse of modern medicine) เนื่องจากไม่สามารถทําหัตถการทางการแพทย์ที่สําคัญ เช่น การผ่าตัดไส้ติ่ง การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่า การผ่าตัดเพื่อเปลี่ยนหรือเพื่อปลูกถ่ายอวัยวะ และการรักษาด้วยเคมีบําบัด (chemotherapy) ได้อีกต่อไป เพราะหัตถการทางการแพทย์เหล่านี้ล้วนแต่ต้องพึ่งพิงประสิทธิภาพของยาปฏิชีวนะในการป้องกันและรักษาการติดเชื้อทั้งสิ้น

ข้อมูลจากรายงานเรื่อง The Review on Antimicrobial Resistance (AMR) ปี 2557 ชี้ให้เห็นว่า สถานการณ์การติดเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพ (AMR) ได้คร่าชีวิตประชากรโลกในแต่ละปีสูงถึง 7 แสนคน และหากไม่เร่งแก้ไขปัญหา คาดว่าใน พ.ศ.2593 การเสียชีวิตจากเชื้อดื้อยาอาจจะสูงถึง 10 ล้านคน แถบเอเชียจะมีคนเสียชีวิตมากที่สุด คือ 4.7 ล้านคน คิดเป็นผลกระทบทางเศรษฐกิจสูงถึง 3.5 พันล้านล้านบาท

ในประเทศไทยเอง มีความเคลื่อนไหวเพื่อรองรับปัญหาดังกล่าว ภายใต้แผนยุทธศาสตร์การการดื้อยาต้านจุลชีพของประเทศไทย พ.ศ. 2560–2564 โดยกระทรวงสาธารณสุข โดยระบุว่า ปัญหาการดื้อยาที่สําคัญในประเทศไทย คือ การดื้อยาของเชื้อแบคทีเรียแกรมลบในโรงพยาบาล เช่น Acinetobacter spp. และ Pseudomonas spp. ซึ่งเป็นสาเหตุสําคัญของการเสียชีวิตจากการติดเชื้อในโรงพยาบาล

ส่วนเชื้อแบคทีเรียที่เป็นปัญหาในชุมชน เช่น Escherichia coli (E. coli), Klebsiella spp. และ Neisseria gonorrhoeae (N. gonorrhoeae) และเชื้อแบคทีเรียที่เป็นปัญหาในการเลี้ยงสัตว์และในอาหาร คือ E. coli, Campylobacter spp. และSalmonella spp. เชื้อแบคทีเรียดื้อยาทําให้ทางเลือกในการรักษามีจํากัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากดื้อต่อยาปฏิชีวนะกลุ่ม carbapenem และ colistin ซึ่งเป็นยาด่านสุดท้ายในการรักษาการติดเชื้อแบคทีเรียดื้อยา

จากการศึกษาเบื้องต้นพบว่า ประเทศไทย มีการติดเชื้อแบคทีเรียดื้อยาประมาณปีละ 88,000 ราย โดยเสียชีวิตประมาณปีละ 38,000 ราย คิดเป็นการสูญเสียทางเศรษฐกิจโดยรวมสูงถึง 4.2 หมื่นล้านบาท

เมื่อเร็วๆนี้ สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ร่วมกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และศูนย์ประสานงานการป้องกันและควบคุมการดื้อยาต้านจุลชีพขององค์การอนามัยโลก คณะแพทยศาสตร์ศิริราช-พยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล จัดประชุมย่อยคู่ขนานแลกเปลี่ยนเรียนรู้ : โรคอุบัติใหม่อุบัติซ้ำและการติดเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพในประเทศไทย ในงานประชุมวิชาการนานาชาติรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล ประจำปี 2561 (Price Mahidol Award Conference 2018) โดยมีผู้แทนหน่วยงานและภาคีที่เกี่ยวข้องกว่า 100 คน ร่วมการประชุม

นพ.พีรพล สุทธิวิเศษศักดิ์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) กล่าวว่า โรคติดเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพ เป็นโรคอุบัติใหม่กำลังเป็นภัยคุกคามความมั่นคงทางสุขภาพของประชากรทั่วโลก เนื่องจากผู้ป่วยที่ติดเชื้อดื้อยา จะไม่มียาต้านจุลชีพที่มีประสิทธิผลดีสำหรับรักษา และเชื้อดื้อยายังสามารถแพร่กระจายจากผู้ป่วยไปยังผู้อื่น และสามารถถ่ายทอดรหัสพันธุกรรมดื้อยาจากเชื้อดื้อยาชนิดหนึ่งไปยังเชื้อชนิดอื่นหรือเชื้อสายพันธุ์อื่นได้ด้วย

สวรส. ตระหนักว่าปัญหาการดื้อยาต้านจุลชีพเป็นปัญหาสุขภาพเชิงระบบที่เกี่ยวข้องกับคน สัตว์ พืช และสิ่งแวดล้อม ซึ่งต้องการการแก้ไขด้วยการวิจัยเชิงระบบตามแนวคิดสุขภาพหนึ่งเดียว (One Health) จึงได้สนับสนุนโครงการวิจัยและพัฒนาการควบคุมและป้องกันการดื้อยาต้านจุลชีพในประเทศไทย มาตั้งแต่ปี 2556 เพื่อวิเคราะห์ขนาดปัญหา ปัจจัยการเกิดและการแพร่กระจายของเชื้อดื้อยา ตลอดจนพัฒนาวิธีการเฝ้าระวังเชื้อดื้อยา และมาตรการป้องกัน ควบคุมเชื้อดื้อยาในประเทศไทยที่สามารถนำมาใช้ลดการป่วย การตาย และความสูญเสียทางเศรษฐกิจจากโรคติดเชื้อดื้อยา นอกจากนี้ การวิจัยเกี่ยวกับการติดเชื้อไวรัสซิก้าในประเทศไทยก็มีความสำคัญ เนื่องจากพบการแพร่ระบาดของการติดเชื้อไวรัสซิก้าในหลายประเทศ

ด้าน ศ.นพ.วิษณุ ธรรมลิขิตกุล คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล หัวหน้าโครงการวิจัยและพัฒนาการควบคุมและป้องกันการดื้อยาต้านจุลชีพในประเทศไทย กล่าวว่า การดำเนินโครงการฯ ดังกล่าวตามแนวคิดสุขภาพหนึ่งเดียวและแผนปฏิบัติการป้องกันและควบคุมการดื้อยาต้านจุลชีพขององค์การอนามัยโลก โดยการสนับสนุนจาก สวรส. ทำให้ทราบว่าคนไทยติดเชื้อดื้อยาปีละประมาณ 100,000 ราย และผู้ป่วยเสียชีวิตประมาณ 30,000 ราย เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจประมาณร้อยละ 1 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ

ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเกิดและการแพร่กระจายของเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพในชุมชนและในโรงพยาบาล โดยปัจจัยที่สำคัญที่ทำให้เกิดเชื้อดื้อยา คือการใช้ยาต้านจุลชีพมากเกินความจำเป็นทั้งในคนและสัตว์ และการป้องกันและควบคุมการแพร่กระจายของเชื้อดื้อยาในสถานพยาบาลยังด้อยประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ ผลงานวิจัยที่พบได้นำมาใช้พัฒนามาตรการเฝ้าระวัง ควบคุมและป้องกันการดื้อยาต้านจุลชีพในประเทศไทย และโครงการฯ ได้นำมาตรการดังกล่าวไปประยุกต์ใช้ในชุมชนนำร่องอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งมาตรการดังกล่าวสามารถนำไปขยายผลและขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์การจัดการการดื้อยาต้านจุลชีพในประเทศไทย พ.ศ.2560-2564 ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2559 ได้

ในการประชุมเดียวกัน ยังได้กล่าวถึงประเด็นที่น่าสนใจอีกด้าน นั่นคือ โรคติดเชื้อไวรัสซิกา ที่มาจากยุงลาย และเป็นที่น่ากังวัลของคนไทยในวันนี้

ศ.นพ.ประเสริฐ เอื้อวรากุล ประธานคลัสเตอร์สุขภาพและการแพทย์ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เผยว่า องค์การอนามัยโลกได้รายงานการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสซิกา ว่ามีการแพร่กระจายเชื้ออย่างกว้างขวางและต่อเนื่อง ข้อมูลตั้งแต่ปี 2550 ถึงเดือนกรกฎาคม 2559 พบผู้ป่วยยืนยันการติดเชื้อไวรัสซิกาจากยุงลายพาหะใน 67 ประเทศ ในทวีปอเมริกากลางและอเมริกาใต้ และคงมีแนวโน้มพบผู้ป่วยเพิ่มขึ้น ทำให้ไวรัสซิก้าจัดเป็นความเสี่ยงทางสาธารณสุขที่สำคัญของโลก แม้ว่าการติดเชื้อซิก้าจะไม่ทำให้เกิดโรครุนแรงในคนทั่วไป แต่การติดเชื้อในหญิงตั้งครรภ์สามารถทำให้เกิดความพิการทางสมองและภาวะสมองเล็กของทารกในครรภ์ได้

ในประเทศไทย ข้อมูลจากสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค พบผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสซิก้าในปี 2555 จนถึงสิ้นปี 2558 มีผู้ป่วยยืนยันเฉลี่ยปีละ 5 ราย ในขณะที่ ปี 2559 รายงานสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสซิก้าตั้งแต่ต้นปี ถึงวันที่ 4 กรกฎาคม 2559 มีรายงานผู้ป่วยรวมทั้งหมด 97 ราย ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน จึงมีแนวโน้มของการการระบาดของไวรัสซิก้าในประเทศไทยที่จะทวีความรุนแรงมากขึ้น ทำให้ต้องมีการเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง

ศ.นพ.ประเสริฐ กล่าวด้วยว่า แม้ปัจจุบันจะไม่ทราบว่าเหตุใดไวรัสซิก้าในประเทศไทยจึงยังไม่ทำให้เกิดการระบาดใหญ่เหมือนอย่างที่พบในแถบอเมริกา จึงได้มีงานวิจัยที่อยู่ในระหว่างการศึกษา โดยเครือข่ายนักวิจัยของ สวทช. เช่น การวิเคราะห์ภูมิคุ้มกันต่อไวรัสซิก้าในประชากรไทย เพื่อทำความเข้าใจข้อมูลความจำเพาะของแอนติเจนต่อแอนติบอดี้ต่อไวรัสซิก้าในประชากรไทย โดยข้อมูลที่ได้จะตอบคำถามว่าประชากรไทยว่ามีภูมิคุ้มกันต่อการติดเชื้อไวรัสซิก้าแล้วหรือไม่ และประชากรที่มีภูมิคุ้มกันแล้วมีจำนวนมากเพียงพอที่จะป้องกันการระบาดของไวรัสซิก้าในประเทศไทยได้หรือไม่ นอกจากนี้ยังมี การศึกษาวิจัยบทบาทของภูมิคุ้มกันข้ามกลุ่มต่อไวรัสไข้เลือดออกในการติดเชื้อไวรัสซิก้า เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างการตรวจพบแอนติบอดี้ต่อไวรัสไข้เลือดออกในเลือดของอาสาสมัครที่สัมผัสโรคกับการติดเชื้อไวรัสซิก้า ซึ่งผลการศึกษาจะบอกได้ว่าการมีภูมิคุ้มกันต่อไวรัสไข้เลือดออก จะมีผลต่อการติดเชื้อซิก้าหรือไม่อย่างไร เป็นต้น

สำหรับเวทีการประชุมย่อยคู่ขนานในงาน PMAC มีการระดมความคิดเห็นเพื่อหาแนวทางสำคัญในการจัดการความรุนแรงของสถานการณ์โรคอุบัติใหม่อุบัติซ้ำ ทั้งในคน สัตว์ และสิ่งแวดล้อม เช่น การจัดการความรู้โรคอุบัติใหม่อุบัติซ้ำกรณีการติดเชื้อไวรัสซิก้าในไทย การตรวจหา การป้องกัน การตอบสนอง และการวิจัยเกี่ยวกับไวรัสซิก้าในอนาคต การติดเชื้อไวรัสซิก้าในหญิงตั้งครรภ์ กับผลต่อการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ การใช้วัคซีนต้านจุลชีพในสุกรของไทย การดูแลการใช้ยาต้านจุลชีพในผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์ เชื้อดื้อยาต้านจุลชีพในสิ่งแวดล้อม เป็นต้น

Latest articles

ทช.-SCG 3D Printing โชว์ผลงานฐานลงเกาะตัวอ่อนปะการัง ฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเล

กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และ SCG 3D Printing โชว์ผลงาน “ฐานลงเกาะตัวอ่อนปะการัง Whirling Wave Pagoda หรือเจดีย์เกลียวคลื่น” ไอเดียต้นแบบรางวัลชนะเลิศจากโครงการ “ARTIFICIAL REEFS HACKATHON 2025”

บัตรเครดิต ttb จัดแคมเปญ “ยิ่งแลก ยิ่งลุ้น” ผ่านแอป ttb touch

บัตรเครดิต ttb จัดแคมเปญ “ยิ่งแลก ยิ่งลุ้น” ผ่านแอป ttb touch รับสิทธิ์ลุ้นรางวัลทองคำรวม 4 บาท และรางวัลอื่น ๆ รวมกว่า 250,000 บาท

InterContinental Doors Unlocked 2025 ชวนท่องไปกับประสบการณ์ระดับโลก

Doors Unlocked by InterContinental เปิดประตูสู่โลกของผู้นำเทรนด์และประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟ พาแขกผู้เข้าพักสัมผัสเบื้องหลังงานใหญ่ระดับโลก ตั้งแต่แฟชั่นวีคไปจนถึงเทศกาลภาพยนตร์

“ภาวุธ” ดันตลาดสตาร์ทอัพ Data AI ลงทุน PAM เสริมแกร่ง SME ไทยแข่งขันได้

ธุรกิจไทยควรได้ใช้ข้อมูลที่เป็นของตัวเอง ไม่ใช่ปล่อยให้แพลตฟอร์มต่างชาติเก็บและควบคุม โดย PAM จะเป็นเครื่องมือศูนย์รวมข้อมูลลูกค้าที่ทำให้ SME ไทยเข้าถึงลูกค้าได้ตรงจริง และใช้ข้อมูลเพื่อพัฒนากลยุทธ์การตลาดได้อย่างเต็มที่

More like this