นักวิชาการสาธารณสุข เปิดแนวทางการตรวจโควิด-19 ใหม่

Published on

นักวิชาการสาธารณสุข เปิดแผนพัฒนาการตรวจโควิด-19 ตั้งรับการเกิดคลัสเตอร์ใหม่ สอดรับสถานการณ์แพร่ระบาดปัจจุบันและอนาคต

นักวิชาการสาธารณสุข เปิดแนวทางการตรวจโควิด-19 ใหม่ ตั้งรับการเกิดคลัสเตอร์ใหม่ สอดรับสถานการณ์การแพร่ระบาดปัจจุบันและอนาคต แนะการเลือกใช้เครื่องมือการตรวจโควิด-19 รูปแบบต่างๆ พร้อมแนวทางการตรวจวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการในประเทศที่ปรับเปลี่ยน หลังจากทุกคน ทุกอาชีพต้องประสบสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 มาอย่างยาวนาน พร้อมการเกิดระลอกใหม่ ส่งผลให้ทีมบุคลากรทางการแพทย์และพยาบาล ต้องทำงานหนักอย่างต่อเนื่อง ในการเข้าตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 ให้กับประชาชนคนไทยทั่วประเทศที่มีอัตราการติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นๆ ซึ่งการทำงานย่อมมีข้อจำกัดทั้งด้านเครื่องมือทางการแพทย์ เวลา และจำนวนบุคลากร

นายแพทย์อาชวินทร์ โรจนวิวัฒน์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า การเลือกใช้เครื่องมือการตรวจโควิด-19 รูปแบบต่างๆ ทางห้องปฏิบัติการให้สอดรับกับสถานการณ์การแพร่ระบาดนั้น ทางบุคลากรทางแพทย์สามารถเลือกใช้ได้เหมาะสมตามวัตถุประสงค์ ตรงตามนโยบาย และอาจประเมินจากพื้นที่ระบาด ประวัติความเสี่ยงของแต่ละบุคคลหรือการสัมผัสผู้ป่วย ร่วมกับอาการแสดงที่อาจมีมากหรือน้อย ไปจนถึงไม่มีอาการเลยก็ตาม โดยการตรวจการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ทางห้องปฏิบัติการ แบ่งได้ 2 แบบ ดังนี้

1. การตรวจหาไวรัสหรือส่วนของไวรัสในสารคัดหลั่งจากทางเดินหายใจ ประกอบด้วย 1.1 การตรวจสารพันธุกรรม Nucleic Acid Amplification Testing (NAAT) วิธีมาตรฐานคือ Real-Time Polymerase Chain Reaction (RT-PCR) 1.2 การตรวจหาแอนติเจนแบบรวดเร็ว และ 2. การตรวจเลือดหาภูมิคุ้มกัน (แอนติบอดี) ต่อไวรัส โดยผู้ที่อยู่ระหว่างการสอบสวนโรค (Patient Under Investigation : PUI) ต้องได้รับการตรวจสารพันธุกรรมของไวรัสโควิด-19 โดยวิธีมาตรฐาน RT-PCR

โดยการประเมินการตรวจหาเชื้อโควิด-19 โดยคัดกรองบุคคลที่มีประวัติความเสี่ยงหรือมีการสัมผัสผู้ป่วยเพื่อตรวจหาเชื้อนั้น อธิบายได้ว่า ผู้สัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วยที่มี “ความเสี่ยงสูง” แนะนำให้รับการตรวจสารพันธุกรรมของไวรัสโควิด-19 โดยวิธีมาตรฐาน RT-PCR ในสารคัดหลั่งจากทางเดินหายใจในช่วงที่สงสัยว่าสัมผัสเชื้อมาแล้ว 3-5 วัน รวมถึงกักตัว 14 วัน หากเป็นผู้มีความเสี่ยงสูง แต่ได้รับการตรวจคัดกรองโดยชุดทดสอบแอนติเจนแบบรวดเร็วก่อนแล้วผลเป็นลบ จะต้องทำการยืนยันด้วยวิธีมาตรฐาน RT-PCR ขณะเดียวกันผู้สัมผัสที่มี “ความเสี่ยงต่ำและความเสี่ยงต่ำมาก” ให้สังเกตอาการ 14 วัน

โดยองค์การอนามัยโลก หรือ WHO มีคำแนะนำในการจัดการ สามารถใช้ชุดทดสอบแอนติเจนแบบรวดเร็วในการทดสอบก่อน หากเป็นบวก ให้ทำการตรวจยืนยันต่อโดยวิธีมาตรฐาน RT-PCR และกรณีที่ต้องการทราบผลการตรวจเร็วในเบื้องต้นก่อน เช่น คนไข้จำเป็นต้องผ่าตัดด่วน สามารถใช้ชุดตรวจแอนติเจนแบบรวดเร็วก่อนที่จะได้รับผล RT-PCR กรณีนี้แม้ได้ผลเป็นลบ บุคลากรทางการแพทย์ยังคงต้องจัดการด้วยความระมัดระวังสูงสุด

นายแพทย์อาชวินทร์ กล่าวเสริมว่า การใช้ชุดตรวจหาไวรัสยังสามารถใช้ในวัตถุประสงค์เพื่อค้นหาผู้ป่วยเชิงรุก (Active Case  Finding) โดยแบ่งตามการระบาด ดังนี้ การระบาดในวงจำกัด เช่น โรงงาน เรือนจำ ตรวจด้วยวิธีมาตรฐาน RT-PCR การระบาดในวงกว้าง มีผู้เสี่ยงติดเชื้อจำนวนมาก เป็นแหล่งพื้นที่สีแดง มีความชุกของโรคสูง สามารถตรวจโดยชุดทดสอบแอนติเจนแบบรวดเร็วก่อน หากผลเป็นลบ ให้ทำตามนโยบายของพื้นที่หรือจัดการตามความเสี่ยงของบุคคลตามข้อมูลเบื้องต้น หากผลเป็นบวกให้ทำการยืนยันด้วยวิธีมาตรฐาน RT-PCR และหากต้องการใช้น้ำลาย อาจใช้การตรวจน้ำลายแบบรายบุคคล หรือจัดการคัดกรองด้วยเทคนิคอื่น โดยผลบวกควรยืนยันด้วยวิธีมาตรฐาน RT-PCR และเฝ้าระวังผู้ได้ผลลบ

ขณะเดียวกัน การตรวจเลือดหาภูมิคุ้มกัน (แอนติบอดี) ต่อไวรัส สามารถใช้ชุดตรวจวินิจฉัยร่วมหากเกิดการตรวจ RT-PCR ให้ผลลบ และตรวจซ้ำแล้วยังคงได้ผลลบ แต่มีอาการทางคลินิคที่เข้ากันได้กับโควิด-19 เพราะในรายที่มาพบแพทย์ล่าช้าอาจมีปริมาณไวรัสต่ำลงกว่าขีดจำกัดของการตรวจพบได้ ในกรณีนี้สามารถแปลผลว่าผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 นอกจากนี้การระบาดในวงจำกัด ยังสามารถพิจารณาใช้การตรวจแอนติบอดีเข้ามา โดยตรวจแอนติบอดี 2 ครั้ง คือเมื่อครบวันที่ 14 และวันที่ 28 โดยการตรวจหาภูมิคุ้มกันในครั้งแรก หากผลเป็นบวก แปลผลได้ 2 แบบคือเพิ่งติดเชื้อหรือติดเชื้อมานานแล้ว ส่วนการตรวจหาภูมิคุ้มกันครั้งที่ 2 หากผลเป็นบวกแสดงว่าเพิ่งติดเชื้อภายใน 1 เดือนที่ผ่านมา ทั้งนี้ การใช้งานและการแปลผลต้องทำโดยบุคลากรทางการแพทย์เท่านั้น ห้ามประชาชนนำมาตรวจด้วยตนเอง เนื่องจากจะต้องใช้วิธีการตรวจและการแปลผลโดยผู้เชี่ยวชาญและหากผิดพลาดจะเป็นอันตรายต่อตนเองและการควบคุมการระบาดของโรคได้ นายแพทย์อาชวินทร์ กล่าวทิ้งท้าย

นายแพทย์อาชวินทร์ โรจนวิวัฒน์

อย่างไรก็ตาม หนึ่งในขั้นตอนการตรวจโควิด-19 ที่สำคัญคือ ผลการตรวจวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการที่รวดเร็วและถูกต้อง ซึ่งขึ้นอยู่กับ “น้ำยา” และ “เครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ” อันมีส่วนช่วยในการรักษาผู้ป่วยให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยปัจจุบัน คิว ไบโอซายน์ ตัวแทนจำหน่ายกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่มีชื่อเสียงและเทคโนโลยีอันเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลก แนะนำ “SARS-CoV-2 Solution” (ซาร์ส โควี ทู โซลูชัน) นวัตกรรมทางการแพทย์ ประกอบด้วย 4 หมวดสำคัญ ดังนี้ 1. ชุดจัดเก็บสิ่งส่งตรวจ 2. การตรวจหาเชื้อไวรัส 3. การตรวจภูมิคุ้มกันด้วยชุดทดสอบรวดเร็ว

และ 4. ชุดควบคุมคุณภาพการทดสอบ ตัวช่วยสำคัญในการพัฒนาห้องปฏิบัติการของบุคลากรทางการแพทย์ ในการรุกตรวจเชื้อไวรัส  โควิด-19 ให้กับประชาชนซึ่งมีอัตราการติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมช่วยให้ระบบการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ มีประสิทธิภาพและรวดเร็วยิ่งขึ้น ภายใต้การทำงานที่มีข้อจำกัดทั้งด้านเครื่องมือทางการแพทย์ เวลา และจำนวนบุคลากร

Latest articles

ซีเล็ค x เด็กสมบูรณ์ เปิดตัว “ปลาทูน่านึ่งซีอิ๊ว” ชู SMART PROTEIN สะดวกดีต่อสุขภาพ

ซีเล็ค x เด็กสมบูรณ์ เปิดตัว “ปลาทูน่านึ่งซีอิ๊ว” ชู SMART PROTEIN สะดวกดีต่อสุขภาพ คู่ความอร่อยคูณสองแบบต้นตำรับ 

SABINA จัดแคมเปญโปรโมชั่น 11.11 ดีลแรง กระตุ้นยอดขายไตรมาสสุดท้าย

“ซาบีน่า” จัดแคมเปญโปรโมชั่นเอาใจเหล่านักช้อป “11.11 สิ้นสุดการรอคอยน์ ซาบีน่าลดให้เลย 1,111 บาท” เมื่อช้อปสินค้าครบ 2,500 บาท

 เปิดตัว Canon EOS R6 Mark III ความละเอียด 32.5 ล้านพิกเซล รองรับวิดีโอแบบ Open Gate

EOS R6 Mark III เปิดมาตรฐานใหม่แห่งการสร้างสรรค์ ด้วยความละเอียดภาพ 32.5 ล้านพิกเซล บันทึกวิดีโอไฟล์ RAW 7K 60p และรองรับการถ่ายวิดีโอแบบ Open Gate

คนไทยดื่มกาแฟเฉลี่ย 340 แก้ว/ปี เผยเทรนด์กาแฟพร้อมดื่ม Café Hopping กำลังมา

คนไทยดื่มกาแฟเฉลี่ย 340 แก้ว/คนปี เผยเทรนด์ก Café Hopping กำลังมา นี่คือโจทย์ใหม่ของกาแฟพร้อมดื่ม จากเครื่องดื่มสู่บทใหม่ของวัฒนธรรมการใช้ชีวิต

More like this