ส่องพฤติกรรมคนไทย เกษียณไม่มีเงินออม

155

31 ต.ค.วันออมแห่งชาติ ส่องพฤติกรรมคนไทย เกษียณไม่มีเงินออม โดยศูนย์วิจัยธนาคารออมสิน เผย ภาพรวมการออมของประเทศไทยยังคงขยายตัวในอัตราที่ชะลอตัวลง โดยเงินฝากขยายตัวลดลง ขณะที่การออมเพื่อการลงทุนในกองทุนและเงินสำรองประกันภัยขยายตัวเพิ่มขึ้น

ดร.ชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า จากการศึกษาของศูนย์วิจัยธนาคารออมสิน พบว่า ภาพรวมการออมของประเทศไทยยังคงขยายตัวในอัตราที่ชะลอตัวลง โดยเงินฝากขยายตัวลดลง ขณะที่การออมเพื่อการลงทุนในกองทุนและเงินสำรองประกันภัยขยายตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า ประกอบกับเศรษฐกิจไทยยังคงขยายตัวจากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐจึงทำให้เงินออมในระบบชะลอตัวลง

ทั้งนี้ ภาพรวมเงินฝากและเงินออมเพื่อการลงทุนประกอบด้วย (1) เงินฝากสะสมในสถาบันรับฝากเงินอยู่ที่ 18.0 ล้านล้านบาท (สัดส่วนร้อยละ 58.7) ขยายตัวร้อยละ 3.4 (2) เงินออมเพื่อการลงทุนจำนวน 9.9 ล้านล้านบาท (สัดส่วนร้อยละ 32.0) ขยายตัวร้อยละ 9.0 และเงินสำรองประกันภัย 2.7 ล้านบาท (สัดส่วนร้อยละ 9) ขยายตัวร้อยละ 7.4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ปัจจุบันประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายจากการที่ประเทศเป็นสังคมผู้สูงอายุแล้ว เนื่องจากมีประชากร ที่มีอายุเกิน 60 ปีขึ้นไปสูงถึง 9.9 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 14.9 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ของ UN ที่กำหนดที่ร้อยละ 10.0 จะถือว่าเป็นสังคมผู้สูงอายุ ซึ่งภาวะสังคมดังกล่าวจะส่งผลกระทบให้กำลังแรงงานลดลง การบริโภคลดลง และจากข้อเท็จจริงพบว่าผู้สูงอายุส่วนใหญ่ของไทยมีเงินออมไม่เพียงพอต่อการดำเนินชีวิตหลังการเกษียณอายุ ซึ่งจะทำให้ประสบปัญหาคุณภาพชีวิตที่ด้อยลง ดังนั้นการส่งเสริมการออมและการวางแผนการออมเพื่อแก้ปัญหาที่ยั่งยืน

นอกจากนี้ ศูนย์วิจัยฯ ได้ทำการสำรวจพฤติกรรมการออมของประชาชนฐานราก จากกลุ่มตัวอย่างประชาชนที่มีรายได้ไม่เกิน 15,000 บาท ทั่วประเทศจำนวน 2,186 ตัวอย่าง พบว่าร้อยละ 61.6 ของกลุ่มตัวอย่างมีเงินออม ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2561 ที่อยู่ร้อยละ 32.2 โดยส่วนใหญ่ของผู้ที่มีเงินออม ร้อยละ 79.9 มีการออมแบบรายเดือน จำนวนเงินออมเฉลี่ยอยู่ที่ 1,000 บาทต่อเดือน ทั้งนี้ โดยภาพรวมการออมของประชาชนฐานรากปรับเพิ่มขึ้นจากปีก่อนเกือบเท่าตัว แต่จำนวนเงินออมเฉลี่ยต่อครั้งลดลง

สำหรับวัตถุประสงค์ การออมของประชาชนฐานราก ส่วนใหญ่มีการออมเพื่อใช้ยามฉุกเฉิน/เจ็บป่วย (ร้อยละ 87.5) และออมเพื่อเป้าหมายต่างๆ ซึ่งพบว่า 3 อันดับแรก คือ ออมเพื่อเก็บไว้ใช้ยามเกษียณ (ร้อยละ 45.0) เป็นทุนประกอบ อาชีพ และเพื่อที่อยู่อาศัย (ร้อยละ 13.6) ซึ่งมีสัดส่วนเท่ากัน และซื้อยานพาหนะ (ร้อยละ 12.3)

เมื่อสำรวจลักษณะการออมและการลงทุนที่มีในปัจจุบันของประชาชนฐานราก พบว่า กลุ่มตัวอย่างที่เป็นลูกจ้างประจำจะมีการออมกับหน่วยงาน/บริษัท อาทิ จ่ายเงินสมทบ เข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ/ประกันสังคมฯ และฝากกับธนาคาร ในขณะที่กลุ่มที่มีอาชีพอิสระจะฝากกับธนาคาร เก็บไว้ที่บ้าน และเล่นแชร์

อุปสรรคสำคัญที่ประชาชนฐานราก ไม่สามารถออมเงินได้ คือ ไม่มีเงินเหลือไว้ออม (ร้อยละ 82.7) มีเหตุจำเป็นต้องใช้เงิน (ร้อยละ 55.5) และมีภาระหนี้สิน (ร้อยละ 28.0)

สำหรับเงินสำรองของประชาชนฐานราก หากเกิดเหตุฉุกเฉินต้องหยุดงานหรือไม่มีรายได้ พบว่า ประชาชนฐานรากร้อยละ 33.7 ไม่มีเงินสำรองฉุกเฉินเลยซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มที่น่าเป็นห่วง ในขณะที่ (ร้อยละ 33.3) มีเงินใช้จ่ายไม่เกิน 1 เดือน และ (ร้อยละ 28.5) มีใช้จ่ายไม่เกิน 3 เดือน

ถ้าหากมีเหตุฉุกเฉิน (ไม่มีรายได้) ประชาชนฐานรากจะทำอย่างไร ? พบว่า ส่วนใหญ่ร้อยละ 83.4 เลือกที่จะขอยืมเงินจากคนในครอบครัว/ญาติ/คนรอบข้าง รองลงมาคือขายทรัพย์สินของตนเอง (ร้อยละ 34.1) และจำนอง/จำนำทรัพย์สินของตนเอง (ร้อยละ 33.1)