4 สถาบัน เสนอนโยบายต่อสู้มะเร็ง รัฐ-เอกชน-คนป่วย ต้องจริงจัง

Published on

ปัจจุบันโรคมะเร็งถือเป็นปัญหาทางสาธารณสุขที่สำคัญของประชากรทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย จากสถิติขององค์การอนามัยโลกในปี พ.ศ. 2561 คาดการณ์ว่ามีจำนวนผู้ป่วยทั่วโลกที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็งประมาณ 18 ล้านคน และเสียชีวิตจากโรคมะเร็งประมาณ 9.6 ล้านคน หรือกล่าวได้ว่า 1 ใน 6 รายของการเสียชีวิต จะเกิดจากโรคมะเร็ง

ในขณะที่โรคมะเร็งส่วนมากยังไม่มีวิธีการป้องกันที่มีประสิทธิภาพ ประเทศที่มีรายได้ต่อประชากรน้อย เช่น ในกลุ่มประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การเข้าถึงการป้องกัน การวินิจฉัย การรักษาโรค และการดูแลมะเร็งระยะสุดท้ายจะเป็นปัญหาที่สำคัญต่อผู้ป่วยและประเทศ โรคมะเร็งมักจะถูกพบในระยะที่ 3 และ 4 มากกว่าร้อยละ 50 ทำให้โอกาสที่จะเสียชีวิตจากโรคมะเร็งสูงมากเมื่อเทียบกับประเทศทางตะวันตก การควบคุมและลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งจึงเป็นปัญหาที่มีความท้าทายอย่างสูง จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีแผนบูรณาการ และต้องการความร่วมมือทุกภาคส่วนทั้ง ภาควิชาการ รัฐบาล และประชาชน เพื่อที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ

ทั้งนี้ยังมีการคาดการณ์ว่า ภายในปี พ.ศ.2567 จะมีผู้ป่วยมะเร็งถึง 20 ล้านคน ดังนั้นโรคมะเร็งจึงยังเป็นปัญหาด้านสาธารณสุขของคนทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย ซึ่งมะเร็งยังเป็นโรคที่คร่าชีวิตคนไทยมากที่สุด

สถานการณ์ของโรคมะเร็งในภาพรวมของประเทศไทย จากสถิติพบว่าโรคมะเร็งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 คิดเป็นร้อยละ 16 ของเหตุการเสียชีวิตทั้งหมด สูงกว่าอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ และโรคหัวใจเฉลี่ย 2 ถึง 3 เท่า หรือมีผู้เสียชีวิตจากโรคมะเร็งเฉลี่ย 8 รายต่อชั่วโมง ในปี พ.ศ. 2561 พบว่ามีจำนวนผู้ป่วยรายใหม่ โดยประมาณอยู่ที่ 170,495 ราย และเสียชีวิตจากโรคมะเร็งประมาณ 114,199 ราย สำหรับ 5 อันดับแรกของมะเร็งที่พบบ่อยที่สุด ได้แก่ มะเร็งปอด มะเร็งตับและท่อน้ำดี มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ และ มะเร็งถุงน้ำดี  โดยโรคมะเร็งที่ทำให้เสียชีวิตมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ มะเร็งตับและท่อน้ำดี มะเร็งปอด มะเร็งถุงน้ำดี  มะเร็งเต้านม  และมะเร็งลำไส้ใหญ่ ตามลำดับ

ล่าสุด คณะแพทยศาสตร์ 4 สถาบัน ได้แก่ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล   คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล และวิทยาลัยวิทยาศาสตร์การแพทย์เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์  รวมพลังจัดงาน “การประชุมวิชาการด้านมะเร็งวิทยานานาชาติเฉลิมพระเกียรติ ศาสตราจารย์ ดร. สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน  วรขัตติยราชนารี” ในระหว่างวันที่  8 – 9 สิงหาคม 2562  ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์   โดยการจัดงานประชุมฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อเฉลิมพระเกียรติ และเผยแพร่พระปรีชาสามารถทางด้านวิทยาศาสตร์ และการแพทย์โดยเฉพาะด้านมะเร็งวิทยาของ ศาสตราจารย์ ดร. สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี

และในงานเดียวกัน คณะแพทยศาสตร์ 4 สถาบัน ได้รวมพลัง เพื่อเสนอ “นโยบายการต่อสู้กับโรคมะเร็งที่ถูกต้องเพื่อลดอุบัติการณ์ ลดภาวะทุพพลภาพ และการเสียชีวิตจากมะเร็งในประเทศไทย” เพื่อพิจารณากลั่นกรองเป็นระเบียบวาระการประชุมสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ โดยได้ทำการลงนามพันธะสัญญาความร่วมมือ (MOU) เพื่อพิชิตมะเร็งในประเทศไทย พร้อมเปิดเวทีเสวนา ยุทธการต้านมะเร็ง” โดยมี รศ.นพ.เอกภพ สิระชัยนันท์ นายกมะเร็งวิทยาสมาคมแห่งประเทศไทย นายแพทย์วีรวุฒิ อิ่มสำราญ ผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ   นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และ คุณออย-ไอรีล ไตรสารศรี ผู้ก่อตั้ง โครงการ อาร์ต ฟอร์ แคนเซอร์ ผู้มีประสบการณ์ตรงในการเป็นผู้ป่วยโรคมะเร็ง ร่วมเสวนา

นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า มะเร็งเป็นโรคร้ายที่ก่อให้เกิดการสูญเสียอย่างมาก จากการศึกษาพบว่า ในแต่ละปี ประเทศไทยมีผู้ป่วยมะเร็งประมาณ 1.5 แสนราย มีค่าใช้จ่ายในการรักษารวม 1 หมื่นล้านบาทต่อปี เฉลี่ยอยู่ที่ 85,000 บาทต่อผู้ป่วย 1 คน ต่อปี ดังนั้นแนวทางการแก้ไขปัญหามะเร็งที่ดีที่สุด คือ การป้องกันความเสี่ยงเพื่อลดผู้ป่วยรายใหม่ ทำอย่างไรให้ผู้คนตระหนักถึงความเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็ง และการตรวจคัดกรองที่เข้าถึงคนทุกกลุ่ม

ทั้งนี้ประเด็นทางด้านพันธุกรรม เป็นเพียงปัจจัยหนึ่งในการเกิดมะเร็ง หรือคิดเป็น 10% เท่านั้น ขณะที่ 90% ของการเกิดโรคมะเร็งมาจาก สภาพแวดล้อมและพฤติกรรมในการใช้ชีวิต

นายแพทย์วีรวุฒิ อิ่มสำราญ ผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ  กล่าวว่า สาเหตุที่คนไทยยังป่วยเป็นโรคมะเร็งกันมาก เพราะโรคมะเร็งมีหลายปัจจัยเสี่ยงและหลายสาเหตุที่ทำให้เกิดโรค มะเร็งไม่ใช่โรคติดต่อ หรือโรคที่มีสาเหตุโดยตรง  สภาพแวดล้อมและพฤติกรรมในการใช้ชีวิต มีส่วนอย่างมากต่อการเกิดโรค ดังนั้น ปัญหามะเร็ง จึงต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการช่วยกันแก้ปัญหา ไม่เพียงความร่วมมือของ 4 สถาบันเท่านั้น แต่หมายถึงความร่วมมือของภาครัฐ เอกชน สถาบันการศึกษา ประชาชน รวมทั้งตัวผู้ป่วยเอง

รศ.นพ.เอกภพ สิระชัยนันท์ นายกมะเร็งวิทยาสมาคมแห่งประเทศไทย การจัดกิจกรรมส่วนภาคประชาชน ภายใต้แนวคิด “ยุทธการต้านมะเร็ง” มุ่งเน้นให้เกิดการขับเคลื่อนเชิงนโยบายเพื่อการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งแบบบูรณาการ โดยความร่วมมือกันเพื่อผลักดันเชิงนโยบายที่จะต่อสู้กับมะเร็งในระดับชาติ เพื่อให้เกิดการสนับสนุนการเข้าถึงการรักษาและการให้บริการอย่างเป็นธรรม รวมถึงการสร้างเครือข่ายภาคประชาชนในการขับเคลื่อนเพื่อต่อสู้กับโรคมะเร็งโดยความร่วมมือกันทุกภาคส่วน ประกอบด้วย

มาตรการในการลดลดอุบัติการณ์ ลดภาวะทุพพลภาพ และการเสียชีวิตจากมะเร็ง

การควบคุมโรคมะเร็งให้มีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องมีมาตรการในทุกระยะของโรคมะเร็ง ได้แก่ ควบคุมปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง ตรวจคัดกรองหามะเร็งที่มีความสำคัญระยะเริ่มต้นที่รักษาให้หายขาดได้ เข้าถึงการดูแลรักษาที่มีประสิทธิภาพและบูรณาการวิธีการรักษา การฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ป่วยและเฝ้าระวังภายหลังการรักษา การดูแลรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งระยะสุดท้าย

การควบคุมปัจจัยเสี่ยงของการเกิดมะเร็ง

1 ใน 3 ของผู้ป่วยที่เสียชีวิตจากมะเร็ง เกิดจากการมีพฤติกรรมทางด้านสุขภาพที่ไม่เหมาะสม ได้แก่ การสูบบุหรี่ การดื่มสุรา การมีน้ำหนักตัวที่มากเกินไป การรับประทานอาหารประเภทผักและผลไม้ที่น้อยเกินไป รวมทั้งการขาดการออกกำลังกายที่เพียงพอ

ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดมะเร็งที่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ได้แก่

  1. การสูบบุหรี่ ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดเป็นมะเร็งปอด มะเร็งในช่องปากและคอ มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ และมะเร็งตับอ่อน
  2. การดื่มสุรา ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับ นอกจากนี้สุรายังเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคมะเร็งในช่องปากและคอ
  3. การติดเชื้อไวรัสบางชนิด เช่น ไวรัสตับอักเสบชนิดบีและซี (hepatitis B and hepatitis C virus) มีความสัมพันธ์ต่อการเกิดโรคตับแข็งและมะเร็งตับ ไวรัสเอปสไตน์บารร์ (Epstein Barr Virus) มีความเกี่ยวข้องกับโรคมะเร็งหลังโพรงจมูก ซึ่งพบได้บ่อยในประเทศไทย และไวรัสเอชพีวี (Human Papilloma Virus) เป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคมะเร็งปากมดลูกในผู้หญิง หรือมะเร็งช่องปากและคอ ในปัจจุบันมีการพัฒนาวัคซีนเพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัสหลายชนิด เช่น วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี วัคซีนป้องกันการติดเชื้อไวรัสเอชพีวี เป็นต้น
  4. การติดเชื้อพยาธิใบไม้ในตับ มะเร็งท่อน้ำดีในประเทศไทยซึ่งมีอุบัติการณ์สูงที่สุดแห่งหนึ่งในโลก มีความเกี่ยวข้องกับการติดเชื้อพยาธิใบไม้ในตับ การควบคุมการบริโภคอาหารที่มีการปนเปื้อนของตัวอ่อนพยาธิใบไม้ในตับ จะช่วยลดอัตราการติดเชื้อ และนำไปสู่การลดอุบัติการณ์โรคมะเร็งท่อน้ำดีได้

การคัดกรองมะเร็งที่มีความสำคัญในระยะเริ่มต้น

การคัดกรองมะเร็งเพื่อตรวจหารอยโรคก่อนมะเร็ง และมะเร็งตั้งแต่ระยะเริ่มแรก เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง และสามารถให้การรักษาให้หายขาดได้ มีหลักฐานการศึกษาที่ชัดเจนว่าการตรวจคัดกรองสามารถลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งที่สำคัญได้โดยเฉพาะมะเร็งปากมดลูก มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ และมะเร็งปอด ซึ่งเป็นมะเร็งที่พบได้บ่อยและมีความสำคัญในประเทศไทย

อุปสรรคสำคัญหลายประการในการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งในประเทศไทยมีหลายประการ การเข้าถึงหน่วยงานบริการ ความรู้ความเข้าใจและความยอมรับในการตรวจคัดกรอง ความต่อเนื่องในการตรวจคัดกรอง เทคนิคที่เหมาะสมแต่มีราคาสูง การขาดแคลนบุคลากรที่ชำนาญในการตรวจคัดกรอง การดูแลผู้ที่ตรวจคัดกรองแล้วพบโรค ประเด็นเหล่านี้จะสำเร็จได้ต้องได้รับความร่วมมือจากหลายภาคส่วนตั้งแต่ภาคประชาชน ภาควิชาการ ภาครัฐ จึงจะสัมฤทธิ์ผล

มาตรการในการให้การวินิจฉัยและรักษามะเร็งที่ถูกต้องตามหลักมาตรฐานสากล

ปัจจัยที่สำคัญในการพัฒนาการดูแลรักษาโรคมะเร็งคือการลงทุนในทรัพยากรทั้งเงินและบุคลากร จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการแผนแม่บทในการกำหนดนโยบายเพื่อให้มีการใช้ทรัพยากรอย่างเหมาะสมและมีทิศทางที่ชัดเจน  ทำให้มีการกระจายทรัพยากรเพื่อให้ประชากรส่วนรวมเข้าถึงการรักษาที่มาตรฐานอย่างทั่วถึง ขณะเดียวกันต้องมีการพัฒนาศักยภาพขั้นสูงของโรงพยาบาล เพื่อให้มีการพัฒนาให้มีเทคโนโลยีขั้นสูง อีกทั้งต้องมีการวิจัยพัฒนา เพื่อให้มีการสร้างนวตกรรม การใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมในประเทศ

การฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ป่วยและเฝ้าระวังภายหลังการรักษา

ภายหลังจากการรักษาโรคมะเร็ง ผู้ป่วยโรคมะเร็งส่วนมากต้องรับการฟื้นฟูสมรรถภาพของอวัยวะที่สูญเสียและร่างกายโดยรวม นอกจากนี้ยังจำเป็นที่จะต้องมีการเฝ้าระวังเพื่อค้นหาโรคมะเร็งที่กลับเป็นซ้ำและป้องกันโรคมะเร็งอวัยวะอื่นที่อาจเกิดขึ้นได้ อีกทั้งการให้คำปรึกษาและประเมินความเสี่ยงและนำไปสู่การคัดกรองที่เหมาะสมแก่ครอบครัวของผู้ป่วยโรคมะเร็ง กระบวนการเหล่านี้เริ่มต้นจากผู้ป่วยเอง และภาคประชาชนที่จะมีส่วนร่วมในการตระหนักรู้และปฏิบัติ ภาครัฐจำเป็นที่จะมีโครงข่ายงานบริการที่ให้ผู้ป่วยและครอบครัวสามารถเข้าถึงได้อย่างเหมาะสม

การดูแลรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งระยะสุดท้าย

แม้เราจะมีเทคโนโลยีในการรักษาโรคมะเร็งอย่างเท่าเทียมกับประเทศที่เจริญแล้ว ผู้ป่วยจำนวนมากยังคงเข้าสู่โรคมะเร็งระยะสุดท้ายที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ก่อให้เกิดภาระต่อผู้ป่วย ครอบครัว และสังคม การบูรณาการการดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็งในระยะท้าย ให้เข้าถึงการดูแลที่เหมาะสม เพื่อบำบัดความทุกข์ทรมานทั้งร่างกายและจิตใจของผู้ป่วย ให้ผู้ป่วยเผชิญกับโรคมะเร็งระยะสุดท้ายอย่างมีศักดิ์ศรีและเหมาะสม จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องบูรณาการทุกภาคส่วนเพื่อให้มีนโยบายจากภาครัฐที่ชัดเจน และมีความร่วมมือจากภาคประชาชนในการบรรเทาภาระของผู้ป่วยและสังคม

 

Latest articles

เผยเทรนด์ฮิตปลายปี 68 กลุ่ม Gen Y – Gen Z ชอบรวมกลุ่มเข้าป่า ส่งสินค้ากลางแจ้งยอดพุ่ง

เผยเทรนด์ฮิตปลายปี 68 กลุ่ม Gen Y – Gen Z  กิจกรรมกลางแจ้ง รวมกลุ่มเข้าป่า ตั้งแคมป์ ให้ธรรมชาติฮีลใจ”ดีแคทลอน ตอบรับกระแสปลายปี เปิดสาขาใหม่ บางกะปิ ด้วยกลยุทธ์ “Bring Sport Closer to People”

ซีเล็ค x เด็กสมบูรณ์ เปิดตัว “ปลาทูน่านึ่งซีอิ๊ว” ชู SMART PROTEIN สะดวกดีต่อสุขภาพ

ซีเล็ค x เด็กสมบูรณ์ เปิดตัว “ปลาทูน่านึ่งซีอิ๊ว” ชู SMART PROTEIN สะดวกดีต่อสุขภาพ คู่ความอร่อยคูณสองแบบต้นตำรับ 

SABINA จัดแคมเปญโปรโมชั่น 11.11 ดีลแรง กระตุ้นยอดขายไตรมาสสุดท้าย

“ซาบีน่า” จัดแคมเปญโปรโมชั่นเอาใจเหล่านักช้อป “11.11 สิ้นสุดการรอคอยน์ ซาบีน่าลดให้เลย 1,111 บาท” เมื่อช้อปสินค้าครบ 2,500 บาท

 เปิดตัว Canon EOS R6 Mark III ความละเอียด 32.5 ล้านพิกเซล รองรับวิดีโอแบบ Open Gate

EOS R6 Mark III เปิดมาตรฐานใหม่แห่งการสร้างสรรค์ ด้วยความละเอียดภาพ 32.5 ล้านพิกเซล บันทึกวิดีโอไฟล์ RAW 7K 60p และรองรับการถ่ายวิดีโอแบบ Open Gate

More like this