สพฉ.จับมือ สบส ลุยสอบข้อเท็จจริงกรณี รพ.ปฏิเสธการรักษาผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต

Published on

สพฉ.จับมือ สบส ลุยสอบข้อเท็จจริงกรณีโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งปฏิเสธการรักษาผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตจากอุบัติเหตุรถยนต์ พบกรณีที่เป็นข่าวนี้เข้าข่ายตามสิทธิ UCEP โรงพยาบาลเอกชนที่เป็นข่าวปฏิเสธการรักษาผู้ป่วยจริง มีความผิดถึงขั้นจำคุกและปรับรวมถึงเพิกถอนใบอนุญาติ

นพ.สัญชัย ชาสมบัติ รองเลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ หรือ สพฉ. กล่าวถึงกรณีที่สื่อมวลชนได้มีการนำเสนอข่าวรพ.เอกชนแห่งหนึ่ง ปฏิเสธการรักษาผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตและให้เหตุผลกับญาติผู้ป่วยว่าจะต้องวางเงินสดจำนวน 100,000 บาท จึงจะทำการรักษาให้นั้นว่า ก่อนที่จะพูดถึงกรณีที่เกิดขึ้นนี้ตนอยากชี้แจงให้ประชาชนทุกคนเข้าใจตรงกันกันก่อนว่านโยบาย “เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต มีสิทธิทุกที่” (Universal Coverage for Emergency Patients: UCEP) นั้นผู้ป่วยที่จะสามารถเข้าข่ายในการใช้สิทธิ์ UCEP จะต้องเป็นผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตที่มีอาการเกิดขึ้นกะทันหัน

ยกตัวอย่างเช่น การเกิดอุบัติทางถนน , เส้นเลือดในสมองตีบ , มีอาการอัมพฤกษ์อัมพาต ,มีอาการเจ็บแน่นหน้าอก,หรือตกต้นไม้แขนขาหัก ,จมน้ำ ,หรือถูกงูพิษกัด แต่ไม่ใช่โรคที่เป็นมานานอย่างโรคเบาหวาน ความดัน ไขมันเรื้อรัง ซึ่งกรณีที่ปรากฏตามข่าวนั้นสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติและกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ สบส. กระทรวงสาธารณสุข ได้ตั้งทีมสอบสวนและได้ลงไปเก็บข้อมูลในโรงพยาบาลที่เกิดกรณีดังกล่าว ซึ่งพบข้อมูลว่าผู้ป่วยในกรณีนี้เป็นผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตที่เข้าตามเกณฑ์ของ UCEP ทุกประการ ซึ่งความหมายในเบื้องต้นคือผู้ป่วยสามารถไปใช้บริการยังโรงพยาบาลที่ใกล้สุดภายใน 72 ชั่วโมงได้ฟรี

นพ.สัญชัย ชาสมบัติ

และในส่วนที่ได้มีการนำเสนอข้อมูลว่าโรงพยาบาลได้เรียกเก็บเงินจำนวน 100,000 บาทก่อนที่จะทำการรักษาผู้ป่วยและเมื่อญาติไม่สามารถหาเงินมาได้โรงพยาบาลก็ไม่ทำการรักษาผู้ป่วยซึ่งในประเด็นนี้รองเลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินกล่าวว่า ตามขั้นตอนของการรักษาของโรงพยาบาลทุกแห่งนั้นหากมีผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตเข้ามายังโรงพยาบาล โรงพยาบาลก็จะต้องทำการคัดแยกแล้วดูว่าอาการบาดเจ็บของผู้ป่วยนั้นมีความรุนแรงที่จะเข้าเกณฑ์ของ UCEP หรือไม่ หากเข้าเกณฑ์ก็สามารถเข้ารับการรักษาโดยที่ไม่ต้องสำรองจ่ายได้ภายใน 72 ชั่วโมง

แต่หากไม่เข้าเกณฑ์ของ UCEP ก็สามารถนำใบคัดแยกอาการเจ็บป่วยฉุกเฉินไปใช้เบิกในส่วนของกองทุนอื่นๆที่ผู้ป่วยมีสิทธิอยู่ อาทิ กองทุนประกันสังคม กองทุนหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือกองทุนของข้าราชการได้อีกด้วยไม่ใช่ว่าหากเข้าไปทำการรักษาในโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ที่สุดแล้วจะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดผู้ป่วยสามารถนำใบคัดแยกอาการเจ็บป่วยฉุกเฉินไปเบิกต่อยังกองทุนต่างๆเหล่านี้ได้

นพ.สัญชัยยังกล่าวเพิ่มเติมในประเด็นนี้อีกว่า อย่างไรก็ตามในกรณีที่เกิดขึ้นนี้สิ่งที่เราต้องเข้าไปดูคือเมื่อเข้าไปแล้วทำไมผู้ป่วยถึงไม่ได้ใช้สิทธิ UCEP ก็มีประเด็นอยู่ที่ว่าโรงพยาบาลปฏิเสธการรักษาหรือไม่ หรือผู้ป่วยมีอาการรุนแรงหรือหนักเกินกว่าศักยภาพที่โรงพยาบาลจะรักษาได้ ขึ้นอยู่กับการสื่อสารระหว่างโรงพยาบาลและญาติผู้ป่วย ซึ่งผู้ป่วยรายนี้เป็นผู้ป่วยที่มีอาการวิกฤตมากและมีอาการโคม่า ส่วนการเข้าไปแล้วโรงพยาลไม่ทำการรักษาและปฏิเสธการรักษาหรือไม่ หรือเป็นเรื่องศักยภาพของโรงพยาบาลมีความสามารถในการรักษากรณีนี้หรือไม่ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราจะต้องไปหาข้อมูลเพิ่มเติม

“การที่เราจะไปบอกว่าโรงพยาบาลปฏิเสธการรักษาหรือไม่ปฏิเสธการรักษานั้นก็อาจจะเร็วไปในแง่ของการพิสูจน์ความจริง ซึ่งเรื่องนี้ได้เข้าสู่ขั้นตอนของการสอบสวนข้อเท็จจริงแล้ว หากพบว่าโรงพยาบาลไม่พร้อมรักษาผู้ป่วย แต่รับเอาผู้ป่วยมาไว้ให้เสียเวลาและผู้ป่วยแย่ลงไปอีก ก็ยิ่งแย่ไปกว่าเดิม หรือเห็นว่าเป็นผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตตามสิทธิ UCEP เข้ามาแล้วไม่รับดีกว่าเพราะกลัวว่าจะเป็นภาระของโรงพยาบาลนั้น ในส่วนนี้เราก็จะต้องดำเนินการว่าไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ซึ่งนโยบาย UCEP นั้นเป็นกฎหมายที่ออกตามพระราชบัญญัติสถานพยาบาลปี พ.ศ. 2541 ถ้าสอบสวนสถานพยาบาลแล้วพบว่ามีความผิดในการปฏิเสธสิทธิผู้ป่วย UCEP นั้น มีระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

อีกทั้งสามารถเกี่ยวข้องกับการเพิกถอนใบอนุญาตของสถานพยาบาลได้เนื่องจากไม่เป็นไปตามพระราชบัญญัติการแพทย์ฉุกเฉิน พ.ศ.2551 อีกด้วย แพทย์พยาบาลที่เกี่ยวข้องก็จะต้องมาพิจารณามาตรฐานทางจริยธรรมและการปฏิบัติทางเวชกรรมโดยแพทยสภาหรือสภาการพยาบาลของตนเอง ซึ่งขณะนี้ สพฉ.และ สบส.ได้ตั้งทีมขึ้นมาตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว ตอนนี้เราต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายและยังเร็วเกินไปที่เราจะสรุปว่าใครผิดหรือใครถูก ต้องรอข้อมูลจากหลายฝ่ายก่อนจึงสามารถสรุปได้ ทั้งจากหน่วยรับแจ้งเหตุ 1669 รถพยาบาลที่ออกไปรับผู้ป่วย โรงพยาบาลที่เกี่ยวข้องทั้งหมด โดยต้องใช้เวลาสักระยะ”รองเลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติกล่าว

นพ.สัญชัยกล่าวทิ้งท้ายให้ประชาชนมั่นใจในนโยบาย UCEP เพราะการเกิดขึ้นของนโยบายนี้ก็เพื่อต้องการลดความเหลื่อมล้ำ และเพิ่มการเข้าถึงการรักษาพยาบาลและต้องการช่วยชีวิตของประชาชนให้รอดพ้นจากอาการเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต โดยนพ.สัญชัยระบุว่า ตามนโยบาย UCEP นั้นผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤติสามารถเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลทุกแห่งที่ใกล้ที่สุด ทั้งภาครัฐและเอกชนทุกแห่งทั่วประเทศ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย โดยจะมีกองทุนตามสิทธิการรักษารับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลตั้งแต่แรกเข้าโรงพยาบาลจนพ้นภาวะวิกฤต แต่ต้องไม่เกิน 72 ชั่วโมง เริ่มนโยบายนี้มาตั้งแต่ 1 เมษายน 2560 จนถึงปัจุบันมีผู้เข้าเกณฑ์แล้วมากกว่า 48,000 ราย เฉลี่ยประมาณ 2,300 ต่อเดือนที่เข้าเกณฑ์

ซึ่งผู้ป่วยที่จะเข้าเกณฑ์ของการใช้สิทธิ UCEP จะต้องเป็นผู้ป่วยฉุกเฉินที่เข้าข่าย 6 อาการฉุกเฉินวิกฤติ อาทิ 1. หมดสติ ไม่รู้สึกตัว ไม่หายใจ 2. หายใจเร็ว หอบเหนื่อยรุนแรง หายใจติดขัดมีเสียงดัง 3. เจ็บหน้าอกเฉียบพลันรุนแรง 4. ซึมลง เหงื่อแตก ตัวเย็น หรือมีอาการชักร่วม 5. แขนขาอ่อนแรงครึ่งซีก พูดไม่ชัดแบบปัจจุบันทันด่วน หรือชักต่อเนื่องไม่หยุด และ 6. มีอาการอื่นร่วมที่มีผลต่อการหายใจระบบการไหลเวียนโลหิตและระบบสมองที่อาจเป็นอันตรายต่อชีวิต ทั้งนี้โดยการประเมินของแพทย์ และหาก ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม หรือไม่ได้รับความเป็นธรรม สามารถติดต่อมายังศูนย์ประสานคุ้มครองสิทธิผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (ศคส. สพฉ.) หมายเลข 02-872-1669 ได้ตลอด 24 ชม.

 

 

 

 

Latest articles

ยัวซ่าแบตเตอรี่ ฉลอง 2,600 วันแห่งความปลอดภัย ปักหมุดองค์กรต้นแบบ Zero Accident

บริษัท ยัวซ่าแบตเตอรี่ ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) เดินหน้าสร้างมาตรฐานด้านความปลอดภัย (Safety First) จนประสบความสำเร็จในโครงการ Zero Accident 2,600 วัน แห่งวัฒนธรรม “ปลอดภัยอย่างยั่งยืน”

PTG ผนึก รพ.ศิริราช จัดโครงการ “บริจาคโลหิต ให้เลือด ให้ชีวิต เพื่อคนไทย อยู่ดีมีสุข”

PTG ผนึก รพ.ศิริราช จัดโครงการ “บริจาคโลหิต ให้เลือด ให้ชีวิต เพื่อคนไทย อยู่ดีมีสุข #1” สร้างปรากฏการณ์ใหม่ครั้งแรกในไทย ผ่าน 'PTG Social Innovation' ใช้สถานีบริการน้ำมันเป็นศูนย์รับบริจาคโลหิต แก้ปัญหาเลือดขาดแคลนอย่างยั่งยืน

โซเด็กซ์โซ่ ประเทศไทย เดินหน้าลดขยะอาหาร ตอกย้ำพันธกิจสู่ความยั่งยืน

โซเด็กซ์โซ่ ประเทศไทย ผู้นำระดับโลกด้านบริการอาหารอย่างยั่งยืนและการมอบประสบการณ์ที่มีคุณค่าในทุกช่วงเวลาของชีวิตจากประเทศฝรั่งเศส เดินหน้าตอกย้ำพันธกิจด้านความยั่งยืนผ่านกิจกรรม “WasteWatch & WasteWise Champion 2025” อย่างต่อเนื่อง

AESLA จัดงานสัมมนาองค์ความรู้ด้านเวชศาสตร์ความงามเกี่ยวกับโพลินิวคลีโอไทด์

เอสล่า (AESLA) ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายเครื่องมือแพทย์ด้านความงามและเวชสำอางชั้นนำระดับโลกที่ผ่านมาตรฐาน U.S. FDA และ Gold Standard จัดงานสัมมนาเชิงวิชาการ “Seeing is Believing: Trusted Science, Visible Results with Polynucleotides”

More like this