นวัตกรรมเปลี่ยนคาร์บอนฯ เป็นพลังงาน มิติใหม่โลกอุตสาหกรรมในอนาคต

Published on

เอ็นไอเอ เปิดอนาคตพลังงานใหม่ด้วย “CCUS” นวัตกรรมเปลี่ยนคาร์บอนฯ เป็นพลังงาน มิติใหม่โลกอุตสาหกรรมในอนาคต

ขณะนี้สถานการณ์ภาวะโลกร้อน มีความรุนแรงมากขึ้นและส่งผลกระทบในวงกว้าง สาเหตุหลักมาจากการเกิดปรากฏการณ์เรือนกระจกที่มีคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) เป็นส่วนประกอบหลัก โดยเกิดจากกิจกรรมการเผาไหม้เชื้อเพลิงต่างๆ ถูกปล่อยเข้าสู่ชั้นบรรยากาศสูงมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันอัตราปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั่วโลกอยู่ที่ 2.7 เปอร์เซ็นต์ ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ คาดว่าในปี 2050 อุณหภูมิโลกอาจจะเพิ่มสูงขึ้นกว่า 3 – 6 องศาเซลเซียส ทำให้คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) ของสหประชาชาติตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงครึ่งหนึ่งภายในปี 2030 และต้องไม่มีการปล่อยก๊าซเพิ่มภายในปี 2050 เพื่อคงระดับอุณหภูมิโลกไม่ให้สูงเกินจากเดิม 1.5 องศาเซลเซียส โดยยังทำให้หลายประเทศหาแนวทางและพัฒนาเทคโนโลยีลด CO2 ที่เป็นต้นเหตุของภาวะโลกร้อน

สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA โดยสถาบันการมองอนาคตนวัตกรรม (Innovation Foresight Institute : IFI) เล็งเห็นว่าเทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture, Utilization and Storage: CCUS) เป็นเทคโนโลยีที่หลายๆ ประเทศกำลังพัฒนา เพื่อใช้ประโยชน์และลดปัญหาการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในกิจกรรมต่างๆ จากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลที่มีผลต่อสภาพภูมิอากาศ โดยใช้วิธีการดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือการปล่อยคาร์บอนที่เป็นลบ (Negative Emission) จากปล่องควันสูงจากโรงไฟฟ้าพลังถ่านหิน อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ อุตสาหกรรมปิโตรเคมี หรือโรงงานผลิตที่มีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็ผลข้างเคียง จะถูกแยกออกจากก๊าซชนิดอื่น ผ่านกระบวนการทางเคมีด้วยสารละลายเอมีน ซึ่งเป็นกระบวนการที่ใช้ทั่วไปในอุตสาหกรรมโรงกลั่นและการผลิตก๊าซธรรมชาติ จากนั้นจะถูกกักเก็บในรูปของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่มีความบริสุทธิ์สูง และอัดฉีดก๊าซฯ ลงสู่ใต้ดินที่ความลึกหลายกิโลเมตร อาทิ โพรงทางธรณีวิทยาที่อยู่ใต้ดิน หรือใต้มหาสมุทร ซึ่งจะถูกกักเก็บไว้ไม่ให้รั่วไหลออกมาไม่ให้สามารถกลับเข้าสู่บรรยากาศได้อีก ทั้งนี้ การใช้เทคโนโลยีดังกล่าวนับเป็นหนึ่งในมาตรการที่มุ่งลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลที่ก่อให้เกิดปรากฎการณ์ก๊าชเรือนกระจก

แม้ว่าในปัจจุบันเทคโนโลยี CCUS ยังมีต้นทุนที่สูง แต่ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ดักจับได้จากการใช้เทคโนโลยี CCUS สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างหลากหลายไม่ว่าจะเป็นการนำไปใช้ในกระบวนการผลิตน้ำมันขึ้นมาจากหลุมหลังจากที่ได้มีการผลิตตามธรรมชาติแล้ว (Enhanced Oil Recovery: EOR) ในการเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมัน การผลิตน้ำแข็งแห้งเพื่อรักษาความสดและยับยั้งการเติบโตของแบคทีเรียในอาหารหรือในกระบวนการหมักต่างๆ ใช้เป็นสารกันเสียในอุตสาหกรรมเครื่องดื่มจำพวกน้ำอัดลมหรือโซดาการนำไปใช้เป็นสารตั้งต้นในการผลิตสารเคมี เช่น เมทานอล และยูเรียที่ใช้เป็นสารเคมีในการะบวนการผลิตขั้นทุติยภูมิในการผลิตปุ๋ยเพื่อใช้ในการทำเกษตรกรรม รวมถึงการประยุกต์ใช้ให้เกิดเป็นอุตสาหกรรมการผลิตสีเขียว โดยเฉพาะในกลุ่มเหล็ก ซีเมนต์ สารเคมี และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ซึ่งปัจจุบันปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากกว่า 21% ทั่วโลก

สำหรับขนาดการเติบโตของ CCUS ในตลาดโลก คาดว่าจะมีแนวโน้มอัตราการเติบโตต่อปีอยู่ที่ 23.3% โดยในปี 2020 ขนาดของตลาดโลกจะอยู่ที่ 8.06 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐและคาดว่าทวีปเอเชียแปซิฟิกจะเป็นศูนย์กลางการปรับใช้เทคโนโลยีดังกล่าวมากที่สุด โดยในปัจจุบันมีโรงงาน 17 โรงงานที่เริ่มดำเนินการใช้เทคโนโลยี CCUS แล้ว มีกำลังสะสมก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 40 ล้านเมตริกตันหรือคิดเป็น 0.1% ของการปล่อยก๊าซทั้งหมดทั่วโลก ขณะที่ทวีปยุโรป ประเทศอังกฤษและประเทศเนเธอร์แลนด์ได้กำหนดยุทธศาสตร์การเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างสะอาด (The Clean Growth Strategy) และข้อตกลงความร่วมมือกลุ่มชาวดัตช์ (The Dutch Coalition Agreement) เพื่อเป็นแนวทางในการปรับใช้เทคโนโลยี CCUS ในโครงการสำคัญๆ ของทวีป ส่วนทวีปอเมริกาเหนือ ปัจจุบันถือเป็นผู้นำระดับโลกในการปรับใช้เทคโนโลยี CCUS ซึ่งกระทรวงพลังงานสหรัฐมีการสนับสนุนวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี CCUS ภายใต้กลุ่มโครงการวิจัยและพัฒนาแหล่งเชื้อเพลิงพลังงานจากฟอสซิล (Fossil Energy Research and Development : FER&D) โดยในปี 2019 มีการวางแผนดำเนินโครงการวิจัยพัฒนากระบวนการใช้เทคโนโลยีที่จะนำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่จับได้ไปกักเก็บหรือนำไปใช้ประโยชน์ ซึ่งสนับสนุนทุนสูงถึง 40 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ ขณะที่ด้านรัฐบาลแคนาดาก็มีการมุ่งลงทุนในเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยสูงถึง 950,000 ดอลล่าร์ ในการเปลี่ยนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ดักจับได้ให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อลูกค้า เช่น วัสดุก่อสร้าง เชื้อเพลิงทดแทน สินค้าอุปโภคบริโภค ฯลฯ

ตัวอย่างบริษัทนวัตกรรมในระบบนิเวศที่หันมาให้ความสำคัญและพัฒนาเทคโนโลยี CCUS
NRG Energy บริษัทผลิต จำหน่ายและให้บริการผลิตกระแสไฟฟ้า และผลิตภัณฑ์และบริการที่เกี่ยวข้องในตลาดพลังงานขนาดใหญ่ของสหรัฐอเมริกา ได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีการดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์หลังการเผาไหม้ เพื่อการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากสถานี WA Parish Generating ในเขตตะวันตกเฉียงใต้ของฮูสตันในรัฐเท็กซัส ส่วนบริษัท Shell Canada ร่วมกับ Canada Energy และ Chevron พัฒนาโครงการ Quest ในรัฐแอลเบอร์ตาเพื่อดักจับ ขนส่ง และกักเก็บก๊าซคาร์บอนดออกไซด์หลายล้านตันลงใต้ดิน ด้านบริษัท Climeworks ได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์โดยตรงจากอากาศซึ่งสามารถดักจับได้มากถึง 900 ตัน/ปี โดยออกแบบเพื่อใช้ในการดึงเอาก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากักเก็บและแปรสภาพเพื่อใช้ในเชิงอุตสาหกรรม ซึ่งขณะนี้ได้มุ่งพัฒนาระบบดังกล่าวสำหรับโรงงานขนาดใหญ่ ขณะที่ Archer Daniels Midland (ADM) ซึ่งเป็นบริษัทที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาโครงการการดักจับและการแยกเก็บคาร์บอนให้กับโรงงาน Illinois Ethanol ในเมืองดิเคเทอร์ ซึ่งเป็นการปรับใช้ CCUS เพื่อเชิงพาณิชย์ในโรงงานผลิตเอทานอลครั้งแรก โดยได้รับการสนับสนุนเงินช่วยเหลือจากกระทรวงพลังงานสหรัฐถึง 141.1 ล้านดอลล่าร์

ดร.พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) เผยว่า การพัฒนานวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อมเป็นหนึ่งในกุญแจที่สำคัญสำหรับการยกระดับเศรษฐกิจ สังคม และคุณภาพชีวิต ที่ต้องดำเนินควบคู่กัน ซึ่งนวัตกรรมลดโลกร้อนก็เป็นอีกกิจกรรมที่สำคัญที่ทั่วโลกต้องตระหนักและเร่งสร้างสิ่งดังกล่าวให้เกิดขึ้น เพื่อขับเคลื่อนโลกไปสู่เศรษฐกิจสีเขียว และจำกัดการเพิ่มอุณหภูมิในอนาคต นอกจากนี้ สภาวะอากาศที่แปรปรวนอย่างรุนแรง และคาดการณ์ได้ยากมากขึ้น การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นประเด็นที่ทั่วโลกและประเทศไทยจำเป็นต้องให้ความสนใจมากขึ้นทุกขณะ ซึ่งเวลานี้ ทั้งผู้ประกอบการ นักวิจัย และนักพัฒนาต้องไม่พลาดที่จะนำเทคโนโลยีที่ช่วยปรับปรุงสภาพอากาศของเราให้ดีขึ้นทั้งการแปรรูปพลังงาน การประยุกต์ใช้พลังงานทางเลือก ฯลฯ เพื่อช่วยให้เกิดทั้งมูลค่าใหม่ทางเศรษฐกิจ และนำมาซึ่งการเติบโตที่ยั่งยืนได้ต่อไป

ในโอกาสครบรอบขวบปีที่ 10 ของการเป็นองค์การมหาชน NIA มุ่งเดินหน้าสู่การเป็นหน่วยงานหลักในการส่งเสริมและสนับสนุนบริษัท องค์กร และหน่วยงานต่างๆ ที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนระบบนวัตกรรมของประเทศ ผ่านกลไกและการประสานงานให้เกิดการทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วนในฐานะผู้ประสานระบบ (System Integrator) เพื่อให้เกิดการสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พร้อมเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงการได้รับการสนับสนุนให้กับเยาวชน นักศึกษา ผู้ประกอบการ และผู้สนใจการพัฒนานวัตกรรมทุกระดับ นอกจากนี้ ยังมุ่งผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่ INNOVATION NATION หรือประเทศแห่งนวัตกรรมอย่างเต็มรูปแบบ
สำหรับผู้ที่สนใจรายละเอียด สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สถาบันการมองอนาคตนวัตกรรม สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) โทรศัพท์ 02-0175555 เว็บไซต์ www.nia.or.th หรือ facebook.com/niathailand

Latest articles

“Lamborghini Fenomeno” เปิดตัว ซูเปอร์สปอร์ตคาร์ลิมิเต็ดอิดิชั่น 29 คันทั่วโลก

ออโตโมบิลี ลัมโบร์กินี (Automobili Lamborghini) ภูมิใจเสนอ “Fenomeno” สุดยอดซูเปอร์สปอร์ตคาร์ ลิมิเต็ดอิดิชั่นรุ่นล่าสุด ที่ผลิตจำกัดเพียง 29 คันทั่วโลก และมาพร้อมเครื่องยนต์ V12 ที่ทรงพลังที่สุดในประวัติศาสตร์ของลัมโบร์กินี เปิดตัวอย่างเป็นทางการที่มหกรรมยานยนต์สุดยิ่งใหญ่ Monterey Car Week 2025

ผลการศึกษาของ ABB ระบุว่า การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานของประเทศไทยเติบโตอย่างรวดเร็ว

เอบีบี เผยผลสำรวจดัชนีความพร้อมการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกประจำปี 2025 พบว่าไทยมีความพร้อมและมีบทบาทเป็นผู้นำอย่างชัดเจน ในการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานของโลก เห็นได้จากผู้นำด้านการใช้พลังงานที่ตอบแบบสำรวจมากถึง 80 เปอร์เซ็นต์ ขณะแผนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานของตนยังคงเดินหน้า แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์ของโลก เป็นสัญญาณที่แสดงถึงเสถียรภาพของกลยุทธ์ด้านนี้อย่างชัดเจน

BLC นำทัพสมุนไพรนวัตกรรม “ไพลวาน่า” โชว์ศักยภาพในงาน World Expo 2025

‘บมจ. บางกอกแล็ป แอนด์ คอสเมติค หรือ BLC’ โชว์ศักยภาพสมุนไพรไทยสู่สากลในงาน World Expo 2025 ณ เมืองโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น ชูผลิตภัณฑ์เรือธง Thai Inno-Herbal แบรนด์ “ไพลวาน่า” ครีมสมุนไพรที่พัฒนาจากเหง้าไพล ด้วยการบูรณาการภูมิปัญญาไทยสู่ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการยอมรับทางวิทยาศาสตร์

LULULEMON CREATING A NEW HUB FOR MOVEMENT AND MINDFULNESS IN BANGKOK

lululemon has officially opened the doors to its new store at Megabangna, marking an...

More like this