รายงานวิจัยล่าสุดของดีลอยท์ “คู่มือสำหรับนักเปลี่ยนผ่านด้านการเติบโต” (The Growth Transformer’s Playbook) พบว่า บริษัทที่นำกลยุทธ์ควบรวมและซื้อกิจการ (M&A) มาเป็นแกนหลักในการเปลี่ยนผ่านธุรกิจ สามารถสร้างผลตอบแทนเหนือคู่แข่งที่ดำเนินธุรกิจรูปแบบเดิม โดยสามารถสร้างผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นเฉลี่ยสูงถึงร้อยละ 464 ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยของดัชนี S&P 1200 ที่ร้อยละ 157 ถึงสองเท่า
การวิเคราะห์ดีลขนาดใหญ่กว่า 2,000 รายการตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นมา พบว่า “องค์กรที่เน้นการเติบโตเชิงเปลี่ยนผ่าน ที่เข้าซื้อกิจการและขายสินทรัพย์อย่างมีกลยุทธ์ และมีการสร้างความร่วมมือในระบบนิเวศ กำลังเป็นผู้นำในการเติบโตทางธุรกิจท่ามกลางความผันผวนด้านกฎระเบียบ กระแสชาตินิยมทางเศรษฐกิจ และการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี” บริษัทกลุ่มนี้ได้กำหนดนิยามใหม่ของการสร้างมูลค่าทางธุรกิจ การเข้าถึงตลาดใหม่ และการปรับรูปแบบโมเดลธุรกิจให้ทันสมัย ทั้งนี้ แนวทางการควบรวมและการซื้อกิจการเชิงเปลี่ยนผ่าน (Transformational M&A) ของดีลอยท์ จึงเป็นคู่มือสำคัญสำหรับผู้นำองค์กรในการสร้างคุณค่าอย่างยั่งยืนในทุกขั้นตอนของดีล
งานวิจัย ชี้ให้เห็นว่า ผู้นำกลุ่มใหม่ในยุทธศาสตร์ M&A เชิงเปลี่ยนผ่าน มีความโดดเด่นใน 6 ด้านสำคัญ ได้แก่:
- การควบรวมและการซื้อกิจการเชิงเปลี่ยนผ่าน (Transformational M&A) เป็นภารกิจของผู้นำองค์กร
การกำหนดเส้นทางการเติบโตของธุรกิจแบบบูรณาการและในหลายมิติ โดยมี M&A และความร่วมมือเชิงกลยุทธ์เป็นแกนหลัก และภายใต้เจตนารมณ์ของผู้นำที่ชัดเจนและวิสัยทัศน์ระยะยาวที่สร้างแรงบันดาลใจ - การเพิ่มมูลค่าจากพอร์ตโฟลิโอของธุรกิจอย่างต่อเนื่อง
การรักษาแนวคิด “ไม่หยุดนิ่ง (Always On)” ในการเพิ่มมูลค่าพอร์ตโฟลิโอการลงทุน มีการวิเคราะห์ การตรวจสอบและทบทวนพอร์ตโฟลิโอการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ การเพิ่มประสิทธิภาพด้านต้นทุน การค้นหาแนวทางเติบโตใหม่ และดำเนินกลยุทธ์ M&A ด้วยแนวคิดแบบนักลงทุนเชิงรุก (Activist Investor) - การดำเนินการเปลี่ยนผ่านเชิงกลยุทธ์ควบคู่ไปกับการทำดีล
การกำหนดเป้าหมายการเปลี่ยนผ่านไว้ในกลยุทธ์และการดำเนินดีลตั้งแต่วันแรก โดยเชื่อมโยงกับแพลตฟอร์มดิจิทัล โครงสร้างข้อมูล และศักยภาพด้านเทคโนโลยีอย่างชัดเจน - การกำหนดให้การใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเทคโนโลยีเป็นแกนหลัก
การใช้เทคโนโลยีขั้นสูงไม่เพียงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน แต่เพื่อพลิกโฉมรูปแบบโมเดลธุรกิจ การสร้างแหล่งรายได้ใหม่ และการเข้าถึงตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets)
- พลังจากการประสานความร่วมมือกัน
การสร้างพันธมิตรนวัตกรรมกับผู้ให้บริการ Hyperscale สตาร์ทอัพ และนักลงทุนเอกชน (Private Equity) เพื่อเร่งการดำเนินงาน การปรับรูปแบบโมเดลธุรกิจใหม่ การสร้างแหล่งรายได้ใหม่ และการเข้าถึงตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) - การพัฒนาบุคลากรเพื่อเตรียมความพร้อมสู่อนาคต
การสร้างทีมงานที่มีความยืดหยุ่นและพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต ด้วยการขับเคลื่อนวัฒนธรรมองค์กรใหม่ และลงทุนในทักษะดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ (AI) อย่างจริงจัง
เดวิด ฮิลล์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของดีลอยท์ เอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า ในปี 2568 ภูมิทัศน์ของ M&A ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยังเผชิญกับความท้าทายเชิงโครงสร้างต่อเนื่องควบคู่กับโอกาสใหม่ๆ โดยอุปสรรคสำคัญในอุตสาหกรรมหลักอย่างโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและพลังงานหมุนเวียน ได้แก่ ช่องว่างราคาซื้อขายที่กว้างขึ้น วงจรการขายเงินลงทุน (Exit Cycle) ที่ยาวนานขึ้น และความลังเลของผู้ขายในการสละอำนาจควบคุมธุรกิจ นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงด้านกฎระเบียบและความซับซ้อนของความต้องการภายหลังการควบรวม โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านเทคโนโลยีและบุคลากร ยังเพิ่มความเสี่ยงในการทำดีล M&A
โดยภาพรวม ความสำเร็จในการลงทุนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จำเป็นต้องอาศัยการดำเนินงานอย่างมีวินัย การจัดลำดับความสำคัญทางกลยุทธ์ที่ชัดเจน และการบริหารจัดการความท้าทายด้านวัฒนธรรมและการผสานธุรกิจอย่างเชิงรุก โดยมีกองทุน Private Equity เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการกำหนดทิศทางของดีล M&A ในภูมิภาคนี้

