ในโลกทุกวันนี้ เราอาจดูแลสุขภาพด้วยการไม่สูบบุหรี่ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ หรือรับประทานอาหารดี ๆ แต่รู้หรือไม่ว่า “การหายใจ” อาจเป็นช่องทางที่ทำให้โรคร้ายอย่างมะเร็งปอดคืบคลานเข้ามาโดยไม่รู้ตัว
มะเร็งปอด…ไม่ใช่แค่โรคของคนสูบบุหรี่
มะเร็งปอดมักถูกมองว่าเป็นโรคของคนที่สูบบุหรี่เท่านั้น แต่ในความเป็นจริง กลับมีผู้ป่วยจำนวนมากที่ไม่เคยแตะบุหรี่เลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่กลับตรวจพบว่าตนเองป่วยเป็นมะเร็งปอดในระยะลุกลามแล้ว คำถามสำคัญคือ ถ้าไม่ใช่เพราะบุหรี่ แล้วอะไรคือปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้เราเป็นมะเร็งได้?
หนึ่งในคำตอบที่ถูกพูดถึงมากขึ้นเรื่อย ๆ คือ “มลพิษในอากาศ” โดยเฉพาะฝุ่นขนาดเล็กอย่าง PM 2.5 ที่สามารถทะลุเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจไปจนถึงถุงลมปอด และก่อให้เกิดการอักเสบในระดับเซลล์อย่างต่อเนื่อง แม้เราจะหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ได้ แต่หลีกเลี่ยงการหายใจกลับเป็นเรื่องแทบเป็นไปไม่ได้ เพราะอากาศคือสิ่งที่เราต้องพึ่งพาทุกวินาที และเมื่ออากาศไม่สะอาดเท่าที่คิด การหายใจก็อาจกลายเป็นการสะสมสารพิษเข้าสู่ร่างกายโดยไม่รู้ตัว โดยหนึ่งในโรคร้ายแรงที่เกี่ยวข้องโดยตรงคือ “มะเร็งปอด” ซึ่งเกิดได้จากการสะสมฝุ่นพิษที่มองไม่เห็น แต่แฝงอันตรายไว้ในทุกลมหายใจ
แต่ฝุ่นในอากาศไม่ได้มีแค่ PM2.5 เท่านั้น ยังมีอีกหนึ่งชนิดที่หลายคนอาจไม่รู้จัก หรือไม่ทันระวัง นั่นคือ “ฝุ่นใยหิน” ซึ่งเป็นฝุ่นที่เกิดจากวัสดุก่อสร้างเก่าที่เสื่อมสภาพ เช่น กระเบื้องมุงหลังคา ผนังบ้าน ท่อซีเมนต์ หรือแม้แต่ผ้าเบรกและคลัทช์ในรถยนต์ วัสดุเหล่านี้มักถูกผลิตโดยใช้แร่ใยหิน (Asbestos) ซึ่งมีโครงสร้างเป็นเส้นใยขนาดเล็กมาก เมื่อถูกตัด เจาะ หรือรื้อถอน เส้นใยเหล่านี้จะแตกออกเป็นฝุ่นขนาดจิ๋ว ลอยปะปนอยู่ในอากาศ และหากถูกสูดเข้าสู่ร่างกายจะเข้าไปติดอยู่ในปอดหรือเยื่อหุ้มปอดได้ทันที
แร่ใยหินคืออะไร และมันเข้าสู่ร่างกายเราได้อย่างไร?
แร่ใยหินเป็นแร่ธรรมชาติที่เคยได้รับความนิยมอย่างมากในอุตสาหกรรมก่อสร้าง เนื่องจากมีคุณสมบัติทนความร้อน แข็งแรง และไม่ติดไฟง่าย จึงถูกนำไปใช้ในวัสดุต่าง ๆ เช่น กระเบื้องมุงหลังคา ท่อซีเมนต์ ฉนวนกันไฟ รวมไปถึงผ้าเบรกและคลัทช์ในรถยนต์ อย่างไรก็ตาม ปัญหาใหญ่ของแร่ใยหินคือ เมื่อวัสดุเหล่านี้เสื่อมสภาพ หรือถูกตัดเจาะโดยไม่มีระบบป้องกัน จะเกิดเป็นฝุ่นขนาดเล็กที่ลอยปะปนในอากาศ และฝุ่นนี้สามารถเข้าสู่ร่างกายเราได้ผ่านทางการหายใจ โดยที่เราไม่รู้ตัว
ฝุ่นใยหินมีขนาดเล็กมากจนร่างกายไม่สามารถกำจัดออกได้ง่าย เมื่อเข้าสู่ปอดแล้วจะไปสะสมอยู่ในถุงลมและเยื่อหุ้มปอดเป็นเวลานานนับสิบปี ทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง และพัฒนาเป็นพังผืดหรือมะเร็งในที่สุด งานวิจัยหลายชิ้นจากองค์การอนามัยโลก (WHO) และสถาบันมะเร็งนานาชาติ (IARC) ยืนยันว่าแร่ใยหินทุกชนิด รวมถึงไครโซไทล์ที่ยังมีการใช้อยู่ในบางประเทศ เป็นสารก่อมะเร็งในมนุษย์อย่างชัดเจน โดยเฉพาะมะเร็งเยื่อหุ้มปอด (Mesothelioma) และมะเร็งปอด
คุณอาจกำลังอยู่ในกลุ่มเสี่ยง โดยไม่รู้ตัว
อันตรายของแร่ใยหินไม่ได้อยู่แค่ในคุณสมบัติที่ทำให้มันทนทานต่อการทำลาย แต่ยังอยู่ที่ความสามารถในการสะสมในร่างกาย โดยไม่มีทางกำจัดออกได้ง่าย ๆ เส้นใยแร่ใยหินเมื่อเข้าสู่ร่างกายจะกระตุ้นการอักเสบเรื้อรัง และอาจใช้เวลานานหลายสิบปีกว่าจะแสดงอาการออกมา เมื่อถึงตอนนั้น ก็มักสายเกินเยียวยา เพราะโรคที่เกิดจากแร่ใยหิน เช่น มะเร็งเยื่อหุ้มปอด (Mesothelioma) หรือพังผืดในปอด (Asbestosis) มักถูกตรวจพบในระยะท้ายที่การรักษาได้ผลจำกัด
สิ่งที่ทำให้แร่ใยหินน่ากลัวยิ่งขึ้นคือ มันสามารถแฝงตัวอยู่ในสิ่งแวดล้อมรอบตัวเราได้โดยที่เราไม่รู้ เช่น บ้านที่ก่อสร้างมานานกว่า 30 ปี อาจใช้กระเบื้องหรือฉนวนที่มีส่วนผสมของแร่ใยหิน หรือถนนที่มีการรื้อถอนอาคารเก่าโดยไม่มีการควบคุมฝุ่นอย่างเหมาะสมก็อาจทำให้ฝุ่นใยหินแพร่กระจายมาถึงพื้นที่ใกล้เคียงได้โดยไม่รู้ตัว รวมถึงคนที่อาศัยอยู่ใกล้โรงงาน หรือในชุมชนที่มีการใช้วัสดุก่อสร้างแบบเดิม ๆ ก็อาจมีความเสี่ยงสูงขึ้นโดยไม่รู้ตัว
สิ่งสำคัญ คือ คนจำนวนมากยังไม่ตระหนักถึงความเสี่ยงจากแร่ใยหิน และเข้าใจผิดว่า “ไม่เห็นก็ไม่น่ากลัว” ในขณะที่ความจริงคือ ฝุ่นใยหินอาจแฝงอยู่ในทุกที่ ทั้งที่บ้าน ในที่ทำงาน หรือแม้แต่ในอากาศที่เราหายใจขณะเดินผ่านพื้นที่ก่อสร้างโดยไม่มีมาตรการควบคุมฝุ่น
การหลีกเลี่ยงฝุ่นใยหินอาจไม่สามารถทำได้ 100% หากเราไม่รู้แหล่งที่มา แต่เราสามารถเริ่มต้นจากการสร้างความรู้เท่าทัน เช่น หลีกเลี่ยงการรื้อถอนอาคารเก่าโดยไม่ใช้ผู้เชี่ยวชาญ ระมัดระวังเมื่อพบวัสดุก่อสร้างเก่าที่แตกร้าว หรือเลือกใช้วัสดุใหม่ที่ปราศจากส่วนผสมของแร่ใยหินในบ้านและที่ทำงาน นอกจากนี้ การตรวจสุขภาพปอดประจำปีก็เป็นอีกทางที่ช่วยให้เรารู้เท่าทันโรคและป้องกันได้แต่เนิ่น ๆ
ในวันที่เราทุกคนกำลังตื่นตัวกับเรื่องฝุ่น PM2.5 อย่าลืมว่ายังมี “ฝุ่นใยหิน” ที่อาจอันตรายยิ่งกว่าแฝงอยู่ใกล้ตัว และไม่มีอาการเตือนใด ๆ จนกว่าจะสายไป หากเรายังไม่เปลี่ยนพฤติกรรมหรือระบบการใช้วัสดุก่อสร้างที่ปลอดภัยกว่า อนาคตของเราและคนที่เรารักอาจต้องเผชิญกับโรคร้ายจากอากาศที่เราเคยคิดว่าบริสุทธิ์