จอมพล สมเด็จอัครมหาเสนาบดี เดโช ฮุน เซน หรือ สมเด็จ ฮุน เซ็น (Hun Sen) เป็นนักการเมืองชาวกัมพูชาที่มีบทบาทโดดเด่นและยืนยาวที่สุดคนหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เขาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของราชอาณาจักรกัมพูชามายาวนานกว่า 40 ปี (ตั้งแต่ พ.ศ. 2528 ถึง พ.ศ. 2568) และมีบทบาทสำคัญในการนำพาประเทศพ้นจากสงครามกลางเมืองสู่ยุคแห่งการพัฒนาและฟื้นฟูประเทศ
ชีวิตช่วงต้น
ฮุน เซ็น เกิดเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2495 ที่จังหวัดกำปงจาม ทางตะวันออกของประเทศกัมพูชา เดิมชื่อว่า “ฮุน บุนัล” ครอบครัวของเขาเป็นชาวนาธรรมดา เขาได้รับการศึกษาระดับประถมที่วัดในหมู่บ้าน ก่อนที่จะเข้าสู่โรงเรียนในกรุงพนมเปญ และได้เข้าเรียนในสถาบันทางทหาร
บทบาทในสงครามและเส้นทางสู่การเมือง
ช่วงทศวรรษ พ.ศ. 2510 กัมพูชาเผชิญกับความขัดแย้งอย่างรุนแรง ในปี พ.ศ. 2518 กลุ่มเขมรแดงขึ้นสู่อำนาจ ฮุน เซ็นซึ่งเคยเป็นสมาชิกของกลุ่มดังกล่าว ต่อมาได้หลบหนีออกจากเขมรแดงในปี พ.ศ. 2520 และลี้ภัยไปยังเวียดนาม จากนั้นเขาได้เข้าร่วมกองกำลังแนวร่วมที่ได้รับการสนับสนุนจากเวียดนาม ซึ่งต่อมาได้ขับไล่เขมรแดงออกจากกรุงพนมเปญในปี พ.ศ. 2522
หลังจากนั้น ฮุน เซ็นเริ่มเข้าสู่การเมืองอย่างจริงจัง โดยได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศในรัฐบาลประชาชนกัมพูชาที่ได้รับการสนับสนุนจากเวียดนาม และในปี พ.ศ. 2528 เขาได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ขณะมีอายุเพียง 32 ปี นับเป็นนายกรัฐมนตรีที่อายุน้อยที่สุดในโลกในขณะนั้น
ยุคแห่งการเปลี่ยนผ่านและการพัฒนา
หลังสงครามเย็น กัมพูชาเริ่มเข้าสู่กระบวนการสันติภาพ โดยมีการเจรจาภายใต้การนำของสหประชาชาติ จนเกิดการเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์ในปี พ.ศ. 2536 ภายใต้การสนับสนุนของ UN ในช่วงเวลานั้น กัมพูชามีการจัดตั้งรัฐบาลผสมระหว่างพรรคประชาชนกัมพูชา (CPP) ของฮุน เซ็น และพรรคฟุนซินเปค (FUNCINPEC) ของเจ้าชายนโรดม รณฤทธิ์
ต่อมาเกิดวิกฤตทางการเมืองและความตึงเครียดภายใน จนในปี พ.ศ. 2540 ฮุน เซ็นสามารถรวบอำนาจการปกครองไว้ได้เพียงผู้เดียวและดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างมั่นคงนับแต่นั้น
ในยุคของฮุน เซ็น กัมพูชาได้พัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐาน เศรษฐกิจ และการลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในเขตเมืองใหญ่ อย่างไรก็ตาม การบริหารของเขาถูกวิจารณ์จากองค์กรสิทธิมนุษยชนเรื่องการควบคุมสื่อ การจำกัดเสรีภาพ และการใช้กฎหมายในการปราบปรามฝ่ายค้าน
พรรคฝ่ายค้านหลักอย่าง “พรรคกู้ชาติกัมพูชา” (CNRP) ถูกยุบในปี พ.ศ. 2560 และผู้นำฝ่ายค้านหลายคนต้องลี้ภัยหรือต้องโทษจำคุก ทำให้กัมพูชาถูกวิจารณ์อย่างกว้างขวางจากนานาชาติในเรื่องประชาธิปไตยที่ถดถอย
การส่งต่ออำนาจและยุคใหม่
ในปี พ.ศ. 2566 สมเด็จฮุน เซ็น ประกาศลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และส่งต่ออำนาจให้แก่ลูกชายคือ พลเอกฮุน มาแนต (Hun Manet) ซึ่งเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในเดือนสิงหาคมปีเดียวกัน ถือเป็นการเปลี่ยนผ่านอำนาจภายในครอบครัวอย่างเป็นทางการ
อย่างไรก็ตาม ฮุน เซ็นยังคงดำรงตำแหน่งสำคัญในพรรคประชาชนกัมพูชา และมีบทบาททางการเมืองในฐานะผู้นำสูงสุด (Supreme Advisor) และประธานวุฒิสภาในระยะต่อมา
สมเด็จฮุน เซ็น เป็นบุคคลที่มีอิทธิพลสูงสุดในประวัติศาสตร์การเมืองร่วมสมัยของกัมพูชา บทบาทของเขาผูกพันกับทั้งความขัดแย้ง สันติภาพ การพัฒนา และการบริหารที่เข้มแข็ง แม้จะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมายเกี่ยวกับประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน แต่เขายังคงเป็นตัวละครหลักที่ไม่อาจมองข้ามได้ในเวทีการเมืองของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ความขัดแย้งกับไทยในยุคของสมเด็จฮุน เซ็น
แม้ไทยและกัมพูชาจะเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่มีพรมแดนติดกันยาวเหยียด และมีความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจมายาวนาน แต่ภายใต้การนำของสมเด็จฮุน เซ็น ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศก็ไม่ราบรื่นนัก โดยเฉพาะในช่วงทศวรรษ พ.ศ. 2540–2550 ที่เกิดความขัดแย้งรุนแรงเกี่ยวกับดินแดนบริเวณ ปราสาทพระวิหาร (Preah Vihear)
จุดเริ่มต้นของข้อพิพาทย้อนกลับไปถึงปี พ.ศ. 2505 เมื่อศาลโลก (ICJ) ตัดสินให้ปราสาทพระวิหารซึ่งตั้งอยู่บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ตกเป็นของกัมพูชา การตัดสินดังกล่าวทำให้เกิดความไม่พอใจในไทย แม้จะมีการยอมรับผลคำตัดสินโดยรัฐบาลในขณะนั้น
อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งปะทุขึ้นอีกครั้งในปี พ.ศ. 2551 เมื่อรัฐบาลกัมพูชาภายใต้การนำของสมเด็จฮุน เซ็น ยื่นขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกต่อยูเนสโก ซึ่งไทยในขณะนั้นมองว่า พื้นที่รอบปราสาทยังเป็นดินแดนพิพาทที่ยังไม่ได้ตกลงอย่างชัดเจน จึงคัดค้านการขึ้นทะเบียน ส่งผลให้เกิดความตึงเครียดบริเวณชายแดน
จากความขัดแย้งทางการทูตนำไปสู่เหตุการณ์ความรุนแรงทางทหารในหลายระลอก ระหว่างปี พ.ศ. 2551–2554 โดยเฉพาะในช่วงต้นปี พ.ศ. 2554 ซึ่งเกิดการปะทะกันระหว่างทหารไทยกับกัมพูชาหลายครั้ง มีทั้งผู้เสียชีวิต บาดเจ็บ และพลเรือนอพยพจำนวนมาก
สมเด็จฮุน เซ็น แสดงท่าทีแข็งกร้าวต่อไทย โดยกล่าวหาว่าไทยรุกรานดินแดนกัมพูชา พร้อมเรียกร้องให้องค์การสหประชาชาติเข้ามาแทรกแซง และเสนอให้ศาลโลกตีความคำตัดสินปี พ.ศ. 2505 ใหม่ เพื่อยืนยันอธิปไตยของกัมพูชาเหนือพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหาร
ในช่วงเวลาที่ความสัมพันธ์ระอุ ฮุน เซ็นมีบทบาทอย่างเด่นชัดในเวทีระหว่างประเทศ โดยใช้ความสามารถด้านการทูตดึงความสนใจจากนานาชาติ และเปิดทางให้ศาลโลกกลับมาตีความคำตัดสินในปี พ.ศ. 2556
ศาลโลกได้ตัดสินว่า กัมพูชามีอธิปไตยเหนือพื้นที่บริเวณปราสาท และเรียกร้องให้ไทยถอนกำลังทหารออกจากพื้นที่พิพาท แม้จะไม่มีการใช้กำลังเพิ่มเติมหลังคำตัดสิน แต่ความรู้สึกของทั้งสองประเทศยังคงเปราะบางในระดับประชาชน
ความขัดแย้งในช่วงนั้นส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจชายแดน การค้า และการท่องเที่ยวระหว่างไทย–กัมพูชา อีกทั้งยังเป็นบททดสอบความสามารถของฮุน เซ็นในการรักษาเสถียรภาพของรัฐบาลภายใน ขณะเดียวกันก็สะท้อนความระแวดระวังที่ไทยมีต่อการทูตกัมพูชา
หลังปี พ.ศ. 2557 เมื่อสถานการณ์ในไทยเปลี่ยนผ่านสู่รัฐบาลใหม่ ความสัมพันธ์ไทย–กัมพูชาก็เริ่มคลี่คลาย โดยทั้งสองประเทศหันมาให้ความสำคัญกับความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน และความมั่นคงตามแนวชายแดนมากขึ้น