ประเทศกัมพูชาหรือเขมรซึ่งคนไทยเหมารวมถึง “ขอม” ซึ่งกัมพูชาไม่มีคำนี้มีแต่ “ขแมร์” (Khmer) มีพื้นที่ประมาณ 181,035 ตารางกิโลเมตร สัดส่วนร้อยละ 35 ของพื้นที่ประเทศไทย
ประชากรประมาณ 18.118 ล้านคน ขนาดเศรษฐกิจ (IMF : 2025) มูลค่า 51,159 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นลำดับที่ 101 ของโลกเทียบกับประเทศไทย 545,341 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นลำดับที่ 30 ของโลก รายได้ต่อหัวต่อปี 2,823.6 USD/Per Capita (เทียบกับไทย 8,271.2 USD)
เมืองสำคัญ เช่น (1) พนมเปญ เป็นเมืองหลวงและเมืองเศรษฐิจใหญ่สุดของประเทศ (2) เมืองสีหนุ เป็นพื้นที่เศรษฐกิจและการลงทุนและเป็นที่ตั้งของท่าเรือ สีหนุวิลล์ นอกจากนี้ยังเป็นที่ตั้งของท่าเรือเรียมซึ่งเป็นฐานทัพเรือของจีน (3) เมืองเสียมเรียบ เป็นที่ตั้งของนครวัดและนครธมแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ (4) เมืองเกาะกง อยู่ติดกับด่านคลองเล็ก จ.ตราด มีการพัฒนาท่าเรือและพื้นที่เศรษฐกิจใหม่

สถานการณ์ความขัดแย้งชายแดนไทย – กัมพูชาที่กำลังเติมเชื้อก่อตัวขึ้นอยู่ในขณะนี้ไม่ใช่ครั้งแรกและในอนาคตคงมีอีกหลายครั้ง เนื่องจากภูมิหลังและการรับรู้ของประชาชนกัมพูชาส่วนหนึ่งซึ่งคงเป็นส่วนใหญ่ยังไม่หลุดจากกับดักของอดีต
ปัจจัยสำคัญคือพรมแดนทั้งสองประเทศระยะทางยาวประมาณ 798 – 817 กม. ตั้งแต่อำเภอคลองเล็ก จ.ตราด-จันทบุรี-สระแก้ว-บุรีรัมย์-สุรินทร์-ศรีสะเกษและอุบลราชธานี
การแบ่งอาณาเขตไทย-กัมพูชาส่วนใหญ่ตามสนธิสัญญาสยาม-ฟรังโกหลายฉบับ เช่น ข้อตกลง พ.ศ. 2436 (ร.ศ.112) ความไม่ชัดเจนของการใช้แผนที่ทำให้พื้นที่ชายแดนบางส่วนมีความทับซ้อนพื้นที่ทางทะเล เช่น เกาะกูดซึ่งมีแหล่งแก๊สธรรมชาติทั้งที่เส้นเขตแดนทางทะเลตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ร.ศ. 125 (พ.ศ. 2450) ระบุว่าเมืองด่านซ้าย (จ.เลย), เมืองตราดและเกาะทั้งหลายใต้แหลมสิงห์ลงมาจนถึงเกาะกูดเป็นของไทย

สำหรับพื้นที่พิพาทอยู่ในปัจจุบันที่ช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี แบ่งเขตแดนโดยใช้สันปันน้ำของเทือกเขาพนมดงรักเป็นอีกพื้นที่หนึ่งซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างอ้างสิทธิเป็นเจ้าของตกลงกันยังไม่ชัดเจน
กรณีความขัดแย้งครั้งนี้ทางกัมพูชาต้องการใช้กลไกศาลโลกแต่ไทยประกาศไม่ยอมรับเขตอำนาจของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) มาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2503 ท่าทีของกัมพูชาต้องการนำเรื่อง 4 ปราสาทเข้ามาพิจารณา คือ ปราสาทตาเมือนธม ตาเมือนโต๊ด ตาควายและพื้นที่สามเหลี่ยมมรกต
ช่วงต้นมิถุนายน 2568 ความขัดแย้งเกือบยกระดับไปสู่ทางทหารแต่ท้ายสุดทางกัมพูชาเลือกที่จะ “ถอย” การอ้างสิทธิพื้นที่ของกัมพูชาในอนาคตคงไม่จบง่ายๆ เนื่องจากการใช้ลัทธิคลั่งชาติเป็นเครื่องมือรับใช้ระบอบฮุนเซนเกี่ยวข้องกับมิติต่างๆ ของกัมพูชาที่มีต่อไทย
มิติด้านการเมือง การเห็นฉากทัศน์การเมืองการปกครองของกัมพูชาซึ่งเป็นรากเหง้าของปัญหาความขัดแย้งเส้นแบ่งเขตแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน ประเทศกัมพูชาปกครองระบอบประชาธิปไตยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขคือสมเด็จพระบรมนาถ นโรดม สีหมุนี (ต.ค. 2547) รัฐสภาของกัมพูชาทั้งสภาล่างและวุฒิสภาอยู่ภายใต้บารมีของ “จอมพล สมเด็จอัครมหาเสนาบดี เดโช ฮุนเซ็น” อดีตเป็นลูกชาวนาช่วงสงครามเย็น
เขาเคยเป็นทหารสมัยเขมรแดง ต่อมาเวียดนามเข้ามายึดเขมรและตั้งรัฐบาลโดยฮุนเซ็นเข้าร่วมและได้ตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศ ภายหลังได้เป็นหัวหน้าพรรคประชาชนกัมพูชา (CCP : Cambodian People Party) และต่อมาได้เป็นนายกรัฐมนตรียาวนานที่สุดของเอเชีย ตั้งแต่พ.ศ. 2528 ร่วมสมัยกับพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ จนถึงพ.ศ. 2566 ได้โอนถ่ายอำนาจให้ลูกชายคือ “ฮุน มาแณต” หรือ “พลเอก สมเด็จมหาบวรธิบดี ฮุน มาแณต” เขาจบจากวิทยาลัยทหาร West Point (USA) และปริญญาเอกจาก University of Bristol (อังกฤษ) เคยเป็นผบ.ทบ. และรอง ผบ.สส.
กัมพูชาในช่วงเวลาเดียวกันมีการผลัดใบคนรุ่นใหม่นำทายาทของนายพลและรัฐมนตรีคนใกล้ชิดฮุนเซ็นเข้ามาสืบอำนาจรับตำแหน่งสำคัญ ที่ผ่านมาการเมืองของกัมพูชาปลุกระดมชาตินิยมเพื่อรับใช้การคงอยู่ของระบบฮุนเซ็นซึ่งอยู่ยาวนานมากว่า 4 ทศวรรษ
นโยบายของระบบฮุนเซ็นคืออนุรักษ์นิยมความยิ่งใหญ่ในอดีตติดดับดักประวัติศาสตร์ เห็นได้จากชื่อตำแหน่งสำคัญย้อนยุคกลับไปถึงศตวรรษที่ 18 สมัยก่อนอาณานิยม การปลูกฝังชาตินิยมแบบ “ลัทธิคลั่งชาติ” มีการดำเนินการอย่างเป็นระบบตั้งแต่ในตำราเรียนและการสอนของนักเรียนไปจนถึงสื่อต่างๆ โดยเฉพาะโซเชียลมีเดีย
หากรัฐบาลมีความอ่อนไหวทางการเมืองหรือปัญหาเศรษฐกิจขาลงอย่างที่อยู่ในปัจุบัน จะปลุกกระแสคลั่งชาติอ้างสิทธิพื้นที่ชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน ประเทศไทยในยุคสยามเป็นบาดแผลทางประวัติศาสตร์ ทำให้ง่ายในการจุดชนวนเพราะติดไฟได้ง่าย
สำหรับพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชาที่เป็นข้อขัดแย้งที่เป็นข่าวอยู่ในขณะนี้ เป็นไปตามอนุสัญญาปี พ.ศ. 2447 และอนุสัญญาปี พ.ศ. 2449 เริ่มจากสามเหลี่ยมมรกต โดยใช้เส้นสันเขาปันน้ำของเทือกเขาพนมดงรักมีความยาวประมาณ 364 กิโลเมตรตั้งแต่จังหวัดอุบลราชธานี ตรงข้ามกับ จ.เขาพระวิหาร จ.ศรีสะเกษ-สุรินทร์ ตรงข้าม จ.อุดรมีชัย และ จ.บุรีรัมย์ ตรงข้าม จ.บันทายมีชัย และด่านอรัญประเทศ-ปอยเปต
ทั้งนี้ไทย-กัมพูชามีพื้นที่พรมแดน 798 – 817 กิโลเมตรยาวที่สุดเมื่อเทียบกับลาวและเวียดนามเป็นไปตามสนธิสัญญากับฝรั่งเศสหลายฉบับ
ภายใต้บริบทการเมืองปลูกฝังลิทธิคลั่งชาติเพื่อรับใช้ความคงอยู่ของระบบฮุนเซ็นส่งผลทำให้เกิดปัญหาความขัดแย้งกับไทยมาตั้งแต่ในอดีต-ปัจจุบันและอนาคต เกี่ยวข้องกับความมีเสถียรภาพของรัฐบาลไทยและมาตรการเชิงรุกในการสร้างข้อมูลเชิงกลยุทธ์ (IO : Information Operation) ทั้งในระดับอาเซียน นานาชาติและยูเอ็นแสดงให้เห็นว่าพื้นที่พรมแดนเหล่านั้นมีความชัดเจนว่าเป็นของไทย ไม่ใช่ให้กัมพูชาใช้สงคราม “IO War” อยู่ฝ่ายเดียว
การอ้างสิทธิพื้นที่ชายแดนของกัมพูชาภายใต้ลิทธิคลั่งชาติเพื่อใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง คงเป็นหนังซีรีย์ยาวไม่จบง่ายๆ
ที่มา
บทความพิเศษ (ฉบับย่อ) : ขัดแย้งปมร้อนชายแดนไทย-กัมพูชา … ภายใต้ลัทธิคลั่งชาติเพื่อรับใช้ความมั่นคงทางการเมือง
โดย ดร.ธนิต โสรัตน์
อดีตประธานสภาธุรกิจประเทศลุ่มแม่น้ำโขง (GMS) ของกกร.และภูมิภาค (6 ประเทศ)
วันที่ 9 มิถุนายน 2568
อ่านฉบับเต็มได้ที่นี่