แก๊งมิจฉาชีพหลอกดูดเงินไม่หยุด ล่าสุดหนุ่มวิศวะสูญ 8 ล้านบาท ใช้กลยุทธ์ใหม่อ้างเป็นดีเอสไอ ตรวสอบบัญชีม้า แบงก์ชาติเข้ม เตรียมประกาศใช้ 3 มาตรการ บังคับสถาบันการเงินต้องร่วมรับผิดชอบ
สถิติความเสียหายจากแก๊งมิจฉาชีพหลอกดูดเงินในปี 2567 ที่ผ่านมา มียอดแจ้งความออนไลน์สะสม ผ่าน https://www.thaipoliceonline.com มากกว่า 739,494 เรื่อง มูลค่าความเสียหายรวมกว่า 77,360,070,295 บาท หรือเฉลี่ยความเสียหายตกวันละ 77 ล้านบาท แม้รัฐบาลจะมีมาตรการจัดการกับแก๊งคอลเซนเตอร์ แต่ปัญหายังไม่หมดไป
ล่าสุด กรณีหนุ่มวิศวะ ดร.ศิวัช มโนมัยสันติภาพ อายุ 32 ปี เดินทางเข้าร้องทุกข์กับสายไหมต้องรอด หลังถูกแก๊งคอลเซนเตอร์บังคับให้โอนเงินกว่า 8 ล้านบาท ติดต่อกันเป็นเวลา 7 วัน โดยอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่จากกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ที่เข้าตรวจสอบบัญชีม้า บังคับให้ถือสายพูดคุย นานถึง 7 วัน 7 คืน โดยห้ามวางสาย และให้โอนเงินออกไปเรื่อยเรื่อยในบัญชีที่แตกต่างกัน ยอดรวมทั้งหมด 8,465,084 บาท จากทั้งหมด 5 บัญชี 4 ธนาคาร รวม 11 ครั้ง
ศิวัช เล่าว่า ตนเองอาศัยอยู่ในต่างประเทศ เป็นเวลา 9 ปี ไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้มาก่อน และเพิ่งกลับมาถึงประเทศไทยและอาศัยอยู่ที่นี่ประมาณ 1 ปี ตลอดระยะเวลาที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย มีเบอร์จากมิจฉาชีพโทรเข้ามาอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็จับได้ทุกครั้ง แต่ในครั้งนี้กลับมีความแนบเนียนในการหลอกลวง และด้วยความกลัวจึงทำตามที่อีกฝ่ายได้ข่มขู่มา และได้แจ้งกับสถาบันการเงิน แต่กลับไม่มีความรับผิดชอบใด ๆ
ปัญหาที่เกิดขึ้น เป็นปัญหาซ้ำซากในสังคมไทย และสร้างความเสียหายมากขึ้นทุกที ล่าสุด ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เตรียมออกประกาศเพื่อกำหนดมาตรฐานสำหรับธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ และผู้ประกอบธุรกิจบริการการชำระเงินที่ได้รับใบอนุญาตประเภทการให้บริการเงินอิเล็กทรอนิกส์ ต้องร่วมรับผิดชอบ โดยมี 3 มาตรการ ดังนี้
- การป้องกันการสวมรอยเปิดบัญชีและการสวมรอยใช้งาน mobile banking โดยสถาบันการเงินต้องดำเนินการดังนี้
(1) ไม่แนบลิงก์ที่เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายผ่าน SMS และอีเมล
(2) ลูกค้าสามารถใช้บริการ mobile banking ของแต่ละสถาบันการเงิน ได้เพียง 1 ชื่อบัญชีผู้ใช้งาน และใช้ได้กับ 1 อุปกรณ์เคลื่อนที่เท่านั้น
(3) มีกระบวนการยืนยันตัวตนในการทำธุรกรรมที่มีความเสี่ยงผ่าน mobile banking โดยใช้เทคโนโลยีเปรียบเทียบใบหน้าและการตรวจจับการปลอมแปลงชีวมิติ สำหรับการทำธุรกรรมโอนเงินที่มีมูลค่าตั้งแต่ 50,000 บาทขึ้นไป หรือการทำธุรกรรมโอนเงินมูลค่ารวมกันครบทุก 200,000 บาทใน 1 วัน หรือการปรับเพิ่มวงเงินการทำธุรกรรมโอนเงินต่อวัน
(4) ตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงแอปพลิเคชันของสถาบันการเงินทุกครั้งที่ผู้ใช้บริการเข้าใช้งาน และไม่อนุญาตให้ใช้งานแอปพลิเคชันที่ถูกเปลี่ยนแปลง
(5) ไม่อนุญาตให้แอปพลิเคชันของสถาบันการเงินทำงานบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ในขณะที่มีแอปพลิเคชันอื่นที่มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น แอปพลิเคชันที่ควบคุมอุปกรณ์เคลื่อนที่จากระยะไกลแอปพลิเคชันที่ปิดบังหรือขโมยข้อมูลบนหน้าจอ
2. การจำกัดความเสียหายและจัดการบัญชีม้า โดยสถาบันการเงินต้องดำเนินการดังนี้
(1) แจ้งเตือนการทำธุรกรรมทุกครั้ง เมื่อมีการโอนเงินออกจากบัญชี ผ่านช่องทางใดช่องทางหนึ่ง เช่น mobile banking, LINE, SMS, อีเมล โดยไม่เรียกเก็บค่าใช้จ่าย
(2) ระงับการทำธุรกรรมและนำส่งข้อมูลตามแนวทางที่ศูนย์ปฏิบัติการเพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ศปอท.) กำหนด ภายใต้อำนาจหน้าที่ที่พระราชกำหนดฯ กำหนดไว้
(3) เมื่อได้รับรายชื่อบุคคลที่เป็นเจ้าของบัญชีม้าดำ[1] จากสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) หรือรายชื่อบุคคลที่เป็นเจ้าของบัญชีม้าเทาเข้ม หรือเทาอ่อน จากระบบ Central Fraud Registry (CFR) ให้ดำเนินการสอดคล้องกับระดับความเสี่ยง เช่น ระงับเงินเข้าและออกทุกบัญชีของบุคคลที่เป็นเจ้าของบัญชีม้า รวมทั้งปฏิเสธการเปิดบัญชีใหม่กับบุคคลที่เป็นเจ้าของบัญชีม้า
- กระบวนการรับแจ้งเหตุภัยทุจริตดิจิทัลที่รวดเร็ว สถาบันการเงินต้องจัดให้มีช่องทางติดต่อเร่งด่วน (hotline) ทางโทรศัพท์ หรือวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ที่ผู้เสียหายสามารถติดต่อเจ้าหน้าที่ของสถาบันการเงินทั้งในและนอกเวลาทำการ
การแก้ไขปัญหาภัยทุจริตทางการเงินอย่างยั่งยืน ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่ายที่จะต้องรับผิดชอบในส่วนของตนเอง แม้พระราชกำหนดฯ จะระบุให้ผู้ให้บริการต้องมีส่วนร่วมรับผิดชอบหากไม่ทำตามมาตรฐานที่ผู้กำกับดูแลกำหนด ธปท. ขอให้ประชาชนใช้ความระมัดระวังในการใช้บริการทางการเงิน เช่น ไม่กดลิงก์ที่ไม่รู้จัก ระวังการรับสายแอบอ้าง และตรวจสอบการทำธุรกรรมให้รอบคอบ เพื่อไม่ให้ตกเป็นผู้เสียหายจากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี