ทำไมการเลือกใช้เชื้อเพลิงการบินที่ยั่งยืน (SAF) จึงจำเป็นสำหรับความยั่งยืนด้านการบินในปัจจุบัน

Published on

เชื้อเพลิงการบินที่ยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel – SAF) ถือเป็นทางออกที่เหมาะสมที่สุดในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคธุรกิจการบิน โดยเชื้อเพลิง SAF ผลิตจากทรัพยากร (feedstock) ที่หมุนเวียนและยั่งยืน เช่น น้ำมันปรุงอาหารที่ใช้แล้ว ไขมันสัตว์ และของเหลือทิ้งจากผลผลิตทางการเกษตร ซึ่งเชื้อเพลิง SAF เป็นหนึ่งในแหล่งพลังงานที่มีความเหมาะสมอย่างมากในการลดปริมาณก๊าซคาร์บอนในอุตสาหกรรมการบินจากความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติและการสร้างอิมแพคต่อสิ่งแวดล้อม

โดยจะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากถึง 80% เมื่อเทียบกับเชื้อเพลิงเครื่องบินแบบเก่า ดังนั้นจึงนับเป็นเครื่องมือสำคัญในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ สมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (International Air Transport Association – IATA) ประมาณการว่า SAF จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอุตสาหกรรมการบินได้ถึง 65% ตามเป้าหมายการลดคาร์บอนสุทธิให้เหลือศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2593

เชื้อเพลิง SAF มีข้อดีหลายประการที่เหนือกว่าเชื้อเพลิงเครื่องบินแบบเก่า ซึ่งรวมถึงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างมีนัยสำคัญ ลดการปล่อยฝุ่นละออง และปรับปรุงคุณภาพอากาศให้ดีขึ้น ในการใช้งาน ต้องนำ SAF ไปผสมกับน้ำมันเชื้อเพลิงเครื่องบินที่มาจากเชื้อเพลิงฟอสซิลแบบดั้งเดิม ทำให้ SAF เป็นเชื้อเพลิงแบบดรอปอิน (drop-in fuel) ที่ผสมกับน้ำมันเครื่องบินทั่วไปโดยไม่ต้องปรับแต่งใดๆ ปัจจุบันอัตราส่วนการผสมสูงสุดของเชื้อเพลิง SAF อยู่ที่ 50% โดยปล่อยคาร์บอนที่ถูกดูดซับด้วย feedstock ทําให้ SAF เป็นกลางทางคาร์บอนเกือบสมบูรณ์

ปัจจุบัน อุตสาหกรรมการบินเป็นแหล่งผลิตก๊าซเรือนกระจกรายใหญ่ และจำเป็นที่จะต้องเร่งดำเนินมาตรการเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายในปี 2593 การผลักดันการใช้เชื้อเพลิง SAF มีจุดมุ่งหมายเพื่อแก้ไขปัญหานี้โดยทันที และขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการบินไปสู่อนาคตที่ยั่งยืน อย่างไรก็ตาม ‘การผลิต SAF ที่จำกัด’ คืออุปสรรคสําคัญต่อการนําไปใช้อย่างแพร่หลาย ต่อไปนี้คือแนวทางที่องค์กรธุรกิจต่างๆ จะสามารถซื้อ SAF และใช้ประโยชน์จากเชื้อเพลิงนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ธุรกิจต่างๆ จะเข้าถึง SAF ได้อย่างไร

เช่นเดียวกับที่ผู้บริโภคไม่สามารถควบคุมแหล่งพลังงานหมุนเวียนที่ส่งเข้าบ้านของตนได้ ผู้ซื้อตั๋วเครื่องบินหรือบริการขนส่งทางอากาศก็ไม่สามารถควบคุมเชื้อเพลิงที่ใช้ในเครื่องบินได้เช่นกัน และนั่นคือที่มาของ ‘ใบรับรองการใช้เชื้อเพลิง SAFc (SAF Certificate)’ ซึ่งมีแบบอย่างมาจากใบรับรองคุณลักษณะด้านพลังงาน (Energy Attribute Certificate – EAC) ช่วยให้ตลาดมีอำนาจขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง และกระตุ้นความต้องการพลังงานหมุนเวียน บริษัทและบุคคลทั่วไปสามารถซื้อใบรับรองการใช้เชื้อเพลิงการบินที่ยั่งยืนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของตนเองได้

ทั้งหมดนี้ดำเนินการผ่านระบบบัญชี ‘Book and Claim’ ที่ตรวจสอบติดตามและถ่ายโอนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วยเชื้อเพลิงที่ยั่งยืน ครอบคลุมทุกส่วนของ value chain โดยผู้ซื้อสามารถทำการ ‘จอง’ ปริมาณเชื้อเพลิงที่ยั่งยืน ณ เวลาที่ซื้อ จากนั้นก็ ‘อ้างสิทธิ์’ ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามเป้าหมายความยั่งยืนของตน ผู้ซื้อจะได้รับ ‘ใบรับรอง’ ที่ผ่านการตรวจสอบจากหน่วยงานอิสระเมื่อซื้อเชื้อเพลิงที่ยั่งยืนผ่านระบบ Book and Claim ดังนั้นถึงแม้ว่าพัสดุหรือสินค้าของพวกเขาอาจไม่ได้จัดส่งในเครื่องบินขนส่งสินค้าที่ขับเคลื่อนด้วยเชื้อเพลิงที่ยั่งยืน แต่ “ผู้อื่น” สามารถใช้เชื้อเพลิงที่ยั่งยืนแทนได้ในทุกที่ของโลก ดังนั้นการซื้อในลักษณะเช่นนี้จึงเป็นการทดแทนการใช้เชื้อเพลิงจากฟอสซิล และลดการปล่อยก๊าซจากการขนส่งโดยรวม และผู้ซื้อจะได้รับเครดิตจากการดำเนินการดังกล่าวด้วย

ด้วยเหตุนี้ ผู้ซื้อจึงเป็นเจ้าของผลประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อมจากการใช้เชื้อเพลิงการบินที่ยั่งยืนโดยไม่จำเป็นต้องครอบครองเชื้อเพลิงโดยตรง ด้วยการซื้อและขายใบรับรอง SAFc บริษัทต่างๆ จะสามารถเป็นเจ้าของผลประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อมผ่านการใช้ SAF แม้ว่าเชื้อเพลิง SAF จริงๆ อาจไม่ได้ถูกใช้ในเครื่องบินที่บรรทุกสินค้าของบริษัทนั้นๆ ก็ตาม ระบบนี้เปิดโอกาสให้ทุกคนในอุตสาหกรรมสามารถเข้าถึงตลาดเชื้อเพลิงการบินที่ยั่งยืนได้ ไม่ว่าบริษัทจะตั้งอยู่ที่ไหนในโลกหรือขนาดขององค์กรจะเล็กหรือใหญ่ ใบรับรอง SAFc ที่จัดส่งผ่านระบบ ‘Book and Claim’ ยังช่วยลดทั้งต้นทุนในการขนส่งและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เนื่องจากไม่ต้องขนส่งเชื้อเพลิงจริงไปทั่วโลก ทำให้ SAFc เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการช่วยลดคาร์บอนในอุตสาหกรรมการบินในเวลานี้

ร่วมมือกับพันธมิตรที่มีความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนความต้องการ SAF

ธุรกิจต่างๆ จะสร้างอุปสงค์หรือดีมานด์ที่จำเป็นในการเพิ่มอุปทานหรือซัพพลายได้อย่างไร คำตอบก็คือการผนึกกำลังร่วมกับบริษัทและองค์กรที่มีแนวคิดคล้ายกัน ร่วมมือกับพันธมิตรที่มีความมุ่งมั่นและนำเสนอโซลูชั่นที่ยั่งยืนมากขึ้นให้แก่ลูกค้า โดยแต่ละความร่วมมือถือเป็นก้าวสำคัญในการเดินทางสู่ความยั่งยืน

แนวทาง ‘Book and Claim’ ช่วยเพิ่มความโปร่งใสและความรับผิดชอบในการใช้เชื้อเพลิงที่ยั่งยืน โดยทำให้มั่นใจได้ว่าการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกี่ยวข้องกับแต่ละเครดิตได้ถูกโอนและตรวจสอบโดยบุคคลที่สามอย่างถูกต้อง ดังนั้น บริษัทต่างๆ สามารถซื้อ SAFc และใช้ประโยชน์จากการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก พร้อมทั้งขยายคุณลักษณะด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Attributes) ไปสู่ลูกค้าผ่านการให้บริการ เช่น DHL GoGreen Plus นอกจากนี้ยังให้ทางเลือกแก่บริษัทต่างๆ ในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งด้วยการใช้ SAF และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตาม Scope 3 ด้วยการดำเนินการตามขั้นตอนต่อไปนี้:

1) บริษัทตัดสินใจว่าต้องการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกปริมาณเท่าไร และจะลงทุนใน SAF เป็นจำนวนเท่าไร
2) ดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส จะนำปริมาณดังกล่าวไปร่วมลงทุนใน SAF และผู้ตรวจสอบอิสระจะตรวจสอบมูลค่าการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของ SAF ในแต่ละปี รวมถึงการยืนยันว่าการลงทุนทั้งหมดได้ถูกใช้สำหรับ SAF เท่านั้น
3) บริษัทจะได้รับใบรับรองการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่สามารถนำไปใช้ในการลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ตาม Scope 3 ได้
4) บริษัทจะได้รับรายงานการปล่อยก๊าซคาร์บอนโดยไม่มีค่าใช้จ่าย

เมื่อต้นปี 2565 ดีเอชแอลได้ประกาศสองข้อตกลงด้านความร่วมมือเกี่ยวกับ SAF ที่ใหญ่ที่สุด นั่นคือ การร่วมมือกับ bp และ Neste ในการซื้อเชื้อเพลิง SAF มากกว่า 800 ล้านลิตรจนถึงปี 2569 และในปี 2566 ดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส และ World Energy ยังได้ลงนามในข้อตกลงระยะเวลา 7 ปี ซึ่งจะมีผลจนถึงปี 2573 เพื่อเร่งการลดคาร์บอนด้วยการซื้อ SAF ประมาณ 668 ล้านลิตรผ่าน SAFc นอกจากนี้ ดีเอชแอลยังทำงานร่วมกับ Neste และ ISCC เพื่อพัฒนาระบบใหม่ ซึ่งช่วยให้สายการบิน ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ และลูกค้าปลายทางสามารถรายงานการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้เมื่อมีการซื้อ SAF

เฮอร์เบิร์ต วงศ์ภูษณชัย

เฮอร์เบิร์ต วงศ์ภูษณชัย กรรมการผู้จัดการดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส ประเทศไทยและหัวหน้าประจำภูมิภาคอินโดจีน กล่าวว่า “ดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรสมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับธุรกิจขนส่งทางอากาศ ปัจจุบันเราเป็นผู้ให้บริการขนส่งด่วนระหว่างประเทศเพียงรายเดียวที่ใช้เชื้อเพลิง SAF ในการขนส่งสินค้าทางเครื่องบินเพื่อการส่งออกและนำเข้า เราสามารถช่วยลูกค้าลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และสนับสนุนอนาคตที่ยั่งยืนมากขึ้นด้วยการร่วมมือกับผู้ผลิต SAF ชั้นนำและผู้ให้บริการโซลูชั่นคาร์บอนต่ำ เราวางแผนจะเพิ่มการใช้ SAF มากกว่า 30% ภายในปี 2573 และภายในปี 2593 เราตั้งเป้าจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งทั้งหมดให้เหลือศูนย์ (Net Zero) โดยปัจจุบันการดำเนินการของเรามีความก้าวหน้าอย่างมาก หากองค์กรอื่นๆ ทำแบบเดียวกันนี้ อุปทานของเชื้อเพลิงการบินที่ยั่งยืนก็จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เราจึงมุ่งหวังที่จะผลักดันการใช้เชื้อเพลิง SAF ให้แพร่หลายในอุตสาหกรรม”

Latest articles

ดุสิตธานี กรุงเทพ / เกียวโต คว้า ‘มิชลิน คีย์’ สะท้อนการออกแบบและบริการที่เป็นเลิศ

กลุ่มดุสิตธานีตอกย้ำความเป็นเลิศระดับโลก หลัง 2 โรงแรมเรือธงคว้า ‘มิชลิน คีย์’ ครั้งแรก ! ของ ‘ดุสิตธานี กรุงเทพ’ - ขณะที่ ‘ดุสิตธานี เกียวโต’ ได้รับรางวัลต่อเนื่องเป็นปีที่สอง

คลังแจงคุณสมบัติ การสรรหาผู้อำนวยการธนาคารออมสิน คนที่ 18

คณะกรรมการสรรหา ผอ.ออมสิน ได้มีมติเห็นชอบให้ประกาศรับสมัครบุคคลเพื่อคัดเลือกเข้าดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการธนาคารออมสิน โดยผู้ที่สนใจสามารถยื่นใบสมัครพร้อมเอกสารหลักฐานประกอบการสมัครได้ตั้งแต่วันอังคารที่ 14 ตุลาคม - วันจันทร์ที่ 27 ตุลาคม 2568

Seafood Paradise สด อร่อย จากชุมชน ที่โรงแรมดุสิตปริ๊นเซส ศรีนครินทร์

โรงแรมดุสิตปริ๊นเซส ศรีนครินทร์ กรุงเทพฯ ขอเชิญทุกท่านร่วมเปิดประสบการณ์แห่งรสชาติ กับ “Seafood Paradise” บุฟเฟต์ซีฟู้ดและอาหารนานาชาติ ที่ผสานความสดใหม่ ความคุ้มค่า และความใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม

Bangkok International Fashion Week 2025 ชูพลังยังก์ดีไซเนอร์ สร้างสรรค์จากผ้าไทยท้องถิ่น

สยามเซ็นเตอร์ ร่วมกับ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และ เอปสัน ประเทศไทย เปิดเวที Bangkok International Fashion Week 2025 –Visionary Stage at Siam Center สนับสนุนยังก์ดีไซเนอร์ ชูพลังไทยสร้างสรรค์จากผ้าไทยท้องถิ่นทั่วประเทศ

More like this