“เวชศาสตร์วิถีชีวิต” หนุนคนไทยเข้าสู่วิถีชีวิตสุขภาวะ ห่างไกลโรค NCDs

Published on

สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เตรียมนำความรู้ด้าน “เวชศาสตร์วิถีชีวิต” มาประยุกต์เข้ากับการดำเนินงานสร้างเสริมสุขภาพของคนไทยทุกกลุ่มวัย เพื่อเข้าสู่ชีวิตวิถีใหม่ วิถีชีวิตสุขภาวะในการลดอัตราการเสียชีวิตก่อนวันอันควรด้วยโรคไม่ติดต่อ (Noncommunicable diseases : NCDs) เช่นโรคหลอดเลือดหัว ใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคปอดเรื้อรัง มะเร็ง เบาหวาน สุขภาพจิต เป็นต้น

ซึ่งปัจจุบันเป็นสาเหตุสำคัญของ การเสียชีวิตของคนไทย สูงถึง 3 ใน 4 หรือ ร้อยละ 75 ของการเสียชีวิตทั้งหมด โดยสาเหตุการก่อโรคไม่ได้เกิดจากเชื้อโรค แต่เป็นพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น การมีกิจกรรมทางกายที่ไม่เพียงพอ พฤติกรรมการรับประทานอาหาร การสูบบุหรี่ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การนอนหลับ เป็นต้น

นอกจากนั้น สสส. ยังต้องการแก้ไขปัญหานี้เพื่อบรรลุเป้าหมายตามที่ให้ไว้กับสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals : SDGs)โดยลดการเสียชีวิตก่อนวันควรจากโรคไม่ติดต่อ 1 ใน 3 ของการเสียชีวิตทั้งหมดภายในปี 2573 โดยต้องอาศัยทั้งการวิจัยพัฒนาองค์ความรู้ การออกนโยบายของภาครัฐ การร่วมรณรงค์ผลักดันสังคมคู่ขนานกับการรักษาโรคเป็นรายบุคคล

เวชศาสตร์วิถีชีวิต ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อป้องกันโรค

“เวชศาสตร์วิถีชีวิต” หรือ Lifestyle Medicine” เป็นคำใหม่ในสังคมไทย โดย American College
of Lifestyle Medicine ให้นิยามว่า “แนวทางในการใช้ชีวิตเพื่อการรักษาและจัดการกับโรคโดยไม่ใช้ยา”
เป็นแนวทางใหม่ใน “การดูแลสุขภาพที่เน้นการปรับเปลี่ยนปัจจัยเสี่ยงซึ่งเกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพเพื่อป้องกันโรคไม่ติดต่อ” โดยการอาศัยหลักการผสมผสานและบูรณาการศาสตร์การรักษาต่าง ๆ

ทั้งความรู้ทางการแพทย์ การให้บริการทางสุขภาพ นโยบายสุขภาพ และปัจจัยที่เกี่ยวกับสภาพแวดล้อม มุ่งเน้นการสร้างความรู้ ความเข้าใจ นำมาวางแผนปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตและพฤติกรรมอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทั้งด้านอาหาร การมีกิจกรรมทางกายเพื่อเสริมสร้างสมรรถภาพทางกายป้องกันโรค การนอนหลับที่มีคุณภาพ การจัดการความเครียด การหลีกเลี่ยงพฤติกรรมอันตรายต่าง ๆ เช่น การสูบบุหรี่ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และการรักษารูปแบบอื่น ๆ โดยไม่ใช้ยา

แพทยสภารับรองเวชศาสตร์วิถีชีวิต

เวชศาสตร์วิถีชีวิต ถูกใช้ดูแลสุขภาพประชาชนในฝั่งอเมริกาและยุโรปมานานแล้ว แต่อาจถือเป็นเรื่องใหม่สำหรับไทย นั้นเพราะยังขาดบุคคลากรทางการแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ แต่นับเป็นความโชคดีของคนไทย เพราะล่าสุดแพทยสภาได้รับรองหลักสูตรฝึกอบรมแพทย์เฉพาะทางแขนงเวชศาสตร์วิถีชีวิตให้เป็นหนึ่งแขนงของสาขาเวชศาสตร์ป้องกัน

โดยมีกรรมการพัฒนาหลักสูตรที่มาจากแพทย์ผู้ทรงคุณวุฒิทั้งความรู้และประสบการณ์ โดย ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม ผู้ช่วยผู้จัดการ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และรักษาการผู้อำนวยการ สำนักสร้างเสริมวิถีชีวิตสุขภาวะ เป็นหนึ่งในแพทย์กลุ่มนี้ด้วย และพร้อมที่จะสานต่อและถ่ายทอดองค์ความรู้ร่วมกับภาคีเครือข่ายของ สสส. รองรับความต้องการดูแลสุขภาพของคนไทย

ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม

เจาะลึกพฤติกรรม ปรับเปลี่ยนป้องกันโรค NCDs

ดร.นพ.ไพโรจน์ กล่าวว่า เวชศาสตร์วิถีชีวิต คือ ศาสตร์ทางการแพทย์สมัยใหม่ที่ต้องอาศัยความรู้เฉพาะทางเพิ่มเติมจากการดูแลสุขภาพพื้นฐาน ดังนั้นจึงเป็นประโยชน์มากในการดูแลสุขภาพของคนไทย เพราะศึกษาเจาะลึกไปยังพฤติกรรมการใช้ชีวิตของคนเฉพาะกลุ่มมากขึ้น นำไปสู่การวิเคราะห์หาแนวทางการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่จะนำไปสู่การเกิดโรคไม่ติดต่อ อย่างค่อยเป็นค่อยไปอย่างมีความสุขเพื่อสร้างแรงจูงใจในการปฎิบัติ

เป็นแนวทางการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูง เมื่อเทียบกับกรณีการเกิดโรคแล้วต้องรักษาด้วยการใช้ยา ที่สำคัญยังช่วยลดความเสี่ยงต่อการสูญเสียชีวิตก่อนวัยอันควรซึ่งสอดคล้องกับนโยบายการดำเนินงานสร้างเสริมสุขภาพของสสส. และเป็นภารกิจของตนเองอยู่แล้ว

ดังนั้นจะนำความรู้ด้านเวชศาสตร์วิถีชีวิตเข้ามาประยุกต์ใช้กับงานทุกๆ ด้าน พร้อมกับการใช้เทคโนโลยีนวัตกรรมและแพลตฟอร์มต่างๆ ของสสส. มาทำหน้าที่เป็นตัวกลางการสื่อสาร การให้คำปรึกษาแนะนำ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดของการดูแลวิถีชีวิตสุขภาพคนไทยให้ครอบคลุมทุกกลุ่มวัย

“เราสูญเสียประชากรก่อนวัยอันควรด้วยโรค NCDs ต่อปีจำนวนมาก ดังนั้นความรู้ด้านเวชศาสตร์วิถีชีวิตก็จะเข้ามามีบทบาทใหม่ที่สำคัญต่อการดำเนินงานของสสส.ในทุกๆ ด้าน เพื่อนำคนไทยทุกกลุ่มไปสู่ชีวิตวิถีใหม่ วิถีชีวิตสุขภาวะ เป็นการช่วยระบบสาธารณสุข และสามารถประหยัดเงินในการรักษาโรคได้อย่างมหาศาล ประเทศก็ได้ประโยชน์

เพราะการรักษาโรค NCDs ต้องใช้เงินจำนวนมาก ซึ่งหากประชาชนสนใจที่จะเริ่มต้นดูแลสุขภาพด้วยตนเอง ก็สามารถค้นหาข้อมูลการดูแลสุขภาพด้วยแนวคิดวิถีชีวิตสุขภาวะได้ที่ www.thaihealth.or.th ” ดร.นพ.ไพโรจน์ กล่าว

ประชุมกิจกรรมทางกาย ต่อยอดภาระกิจดูแลสุขภาพ

ล่าสุด สสส.ร่วมกับ ศูนย์พัฒนาองค์ความรู้ด้านกิจกรรมทางกายประเทศไทย (TPAK) เตรียมจัดการประชุมวิชาการด้านกิจกรรมทางกายประเทศไทย “ Thailand Physical Activity Conference 2022 (TPAC 2022) ” ภายใต้หัวข้อ “ Integrating knowledge for physical activity regeneration : บูรณาการองค์ความรู้เพื่อฟื้นฟูกิจกรรมทางกาย ”

เพื่อเปิดพื้นที่แลกเปลี่ยนและเรียนรู้ประสบการณ์ในการทำงานด้านส่งเสริมกิจกรรมทางกายจากนักวิชาการและผู้เชียวชาญทั้งในและต่างประเทศ ระหว่างวันที่ 30 ม.ค. – 1 ก.พ. 2566 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

ผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนเพื่อเข้าร่วมการประชุมผ่านแอพพลิเคชั่น ZOOM โดยไม่มีค่าใช้จ่ายได้ที่ https://tpacconference.org/ หรือรับชมการถ่ายสอดสดผ่าน

Facebook ศูนย์พัฒนาองค์ความรู้ด้านกิจกรรมทางกายประเทศไทย TPAK ได้ที่

https://web.facebook.com/TPAK.Thailand/?_rdc=1&_rdr

ทั้งนี้ สสส.จะนำความรู้จากเวทีนี้มาแปลงเป็นนโยบายสนับสนุนการดำเนินงาน เพื่อขับเคลื่อนสุขภาพและสังคมไทยเพื่อก้าวสู่ “ชีวิตวิถีใหม่ วิถีชีวิตสุขภาวะ” อย่างยั่งยืนต่อไป

 

 

 

Latest articles

เผยเทรนด์ฮิตปลายปี 68 กลุ่ม Gen Y – Gen Z ชอบรวมกลุ่มเข้าป่า ส่งสินค้ากลางแจ้งยอดพุ่ง

เผยเทรนด์ฮิตปลายปี 68 กลุ่ม Gen Y – Gen Z  กิจกรรมกลางแจ้ง รวมกลุ่มเข้าป่า ตั้งแคมป์ ให้ธรรมชาติฮีลใจ”ดีแคทลอน ตอบรับกระแสปลายปี เปิดสาขาใหม่ บางกะปิ ด้วยกลยุทธ์ “Bring Sport Closer to People”

ซีเล็ค x เด็กสมบูรณ์ เปิดตัว “ปลาทูน่านึ่งซีอิ๊ว” ชู SMART PROTEIN สะดวกดีต่อสุขภาพ

ซีเล็ค x เด็กสมบูรณ์ เปิดตัว “ปลาทูน่านึ่งซีอิ๊ว” ชู SMART PROTEIN สะดวกดีต่อสุขภาพ คู่ความอร่อยคูณสองแบบต้นตำรับ 

SABINA จัดแคมเปญโปรโมชั่น 11.11 ดีลแรง กระตุ้นยอดขายไตรมาสสุดท้าย

“ซาบีน่า” จัดแคมเปญโปรโมชั่นเอาใจเหล่านักช้อป “11.11 สิ้นสุดการรอคอยน์ ซาบีน่าลดให้เลย 1,111 บาท” เมื่อช้อปสินค้าครบ 2,500 บาท

 เปิดตัว Canon EOS R6 Mark III ความละเอียด 32.5 ล้านพิกเซล รองรับวิดีโอแบบ Open Gate

EOS R6 Mark III เปิดมาตรฐานใหม่แห่งการสร้างสรรค์ ด้วยความละเอียดภาพ 32.5 ล้านพิกเซล บันทึกวิดีโอไฟล์ RAW 7K 60p และรองรับการถ่ายวิดีโอแบบ Open Gate

More like this