ท่องเที่ยวไทย…หลังคลายล็อก โดย ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี

Published on

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 นับตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 – 3 ปี 2564 เป็นต้นมา ทำให้ภาครัฐประกาศล็อกดาวน์ประเทศ ซึ่งแม้ว่าจะเป็นการล็อกดาวน์เพียงบางส่วน แต่ก็ส่งผลต่อภาคการท่องเที่ยวซึ่งมีบทบาทต่อเศรษฐกิจไทยถึง 20% ของจีดีพี

อย่างไรก็ดี ภาคการท่องเที่ยวเริ่มมีความหวังกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง จากการที่ภาครัฐประกาศโรดแมปฟื้นฟูการท่องเที่ยวไทยในเดือนตุลาคมนี้ พร้อมเปิด 2 โครงการ ได้แก่ “เราเที่ยวด้วยกัน เฟส 3” และ “ทัวร์เที่ยวไทย” โดยมุ่งหวังว่าจะสามารถช่วยพลิกฟื้นการท่องเที่ยวไทยโค้งสุดท้ายของปีนี้ได้

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics ทำการศึกษาประเมินผลกระทบการระบาดของโรคโควิด-19 ต่อภาคการท่องเที่ยวในช่วงที่ผ่านมา พร้อมทำการวิเคราะห์แนวโน้มท่องเที่ยวไทย หลังคลายล็อกดาวน์ให้คนไทยเที่ยวได้ และข้อเสนอแนะต่อผู้ประกอบการท่องเที่ยวและภาครัฐเพื่อพลิกฟื้นการท่องเที่ยวให้เติบโตอย่างยั่งยืน ดังนี้

เหลียวหลัง… การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในช่วง 20 เดือนที่ผ่านมา (มกราคม 2563 – สิงหาคม 2564) ทำให้รายได้การท่องเที่ยวไทย ลดลงกว่า 3.55 ล้านล้านบาท หรือ ลดลงกว่า 79%

นับตั้งแต่การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จนถึงปัจจุบัน ส่งผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวอย่างมาก โดยสถานการณ์การท่องเที่ยวไทยปี 2562 ซึ่งเป็นปีที่ยังไม่มีการแพร่ระบาด รายได้จากการท่องเที่ยวไทยรวมอยู่ที่ 2.73 ล้านล้านบาท หลังจากนั้นเป็นต้นมาเริ่มมีการแพร่ระบาดเกิดขึ้น ทำให้รายได้การท่องเที่ยวไทยในปี 2563 ลดลงเหลือ 0.79 ล้านล้านบาท หรือหดตัวมากถึง 71% เมื่อเทียบกับปี 2562 และยังได้รับผลกระทบต่อเนื่อง โดยในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2564 (มกราคม – สิงหาคม) รายได้จากการท่องเที่ยวอยู่ที่ 0.14 ล้านล้านบาท หรือหดตัวลง 92%

เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 ซึ่งเมื่อรวมผลกระทบนับตั้งแต่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในช่วง 20 เดือน (มกราคม 2563 – สิงหาคม 2564) เทียบกับระดับรายได้ปกติปี 2562 พบว่ารายได้จากการท่องเที่ยวไทย ลดลงไปแล้วกว่า 3.55 ล้านล้านบาท หรือลดลงมากถึง 79% โดยส่วนใหญ่เป็นรายได้จาก “นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ” ลดลง 2.38 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 67% ส่วนที่เหลือเป็นรายได้จาก “นักท่องเที่ยวคนไทย” ลดลง 1.17 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 33%

จากการศึกษาผลกระทบการระบาดของโรคโควิด-19 ต่อภาคการท่องเที่ยวไทยพบว่ารายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้ประเทศไทยจำกัดการเข้ามาของนักท่องเที่ยวต่างชาติและแต่ละประเทศต่างก็ไม่อนุญาตให้พลเมืองของตนเองออกนอกประเทศ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดในวงกว้าง ในขณะที่นักท่องเที่ยวคนไทย แม้ลดลงไปบ้างแต่ก็ไม่ได้หายไปเลย หากไม่มีการแพร่ระบาดอย่างมากจนถึงขั้นที่ภาครัฐประกาศล็อกดาวน์ คนไทยก็ยังออกมาท่องเที่ยวกันอยู่

เมื่อพิจารณาธุรกิจที่ได้รับผลกระทบประเมินจากโครงสร้างรายได้นักท่องเที่ยวต่างชาติและคนไทยพบว่า ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบมาก ได้แก่ โรงแรมและที่พัก (ลดลง 8.8 แสนล้านบาท) ร้านอาหารและเครื่องดื่ม (ลดลง 7.7 แสนล้านบาท) ร้านขายของที่ระลึก (ลดลง 7.0 แสนล้านบาท) สถานบันเทิง (ลดลง 4.7 แสนล้านบาท) บริการรับส่งนักท่องเที่ยว (ลดลง 3.4 แสนล้านบาท) ธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ (ลดลง 2.7 แสนล้านบาท) และบริการอื่น ๆ (ลดลง 1.2 แสนล้านบาท) ตามลำดับ

สำหรับจังหวัดท่องเที่ยวหลักที่ได้รับผลกระทบสูงสุด โดยรายได้ลดลงมากกว่า 80% ได้แก่ กรุงเทพฯ ภูเก็ต ชลบุรี กระบี่ สุราษฎร์ธานี และพังงา ซึ่งรายได้จากการท่องเที่ยวลดลงรวมกันกว่า 2.81 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 79% ของรายได้ที่หายไปทั้งหมด 3.55 ล้านล้านบาท รายได้ส่วนใหญ่ที่หายไปมาจากนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นหลัก สำหรับจังหวัดอื่น ๆ ที่มีการพึ่งพิงนักท่องเที่ยวต่างชาติไม่มากนักพบว่ารายได้ลดลง 64% เนื่องจากในช่วงที่มีการระบาดน้อยและภาครัฐผ่อนคลายการล็อกดาวน์ลง ทำให้คนไทยสามารถเที่ยวในพื้นที่ดังกล่าวได้บ้าง

จากการที่ภาครัฐเดินหน้าเปิดประเทศตามแผนที่วางไว้ในเดือนตุลาคม 2564 ในเบื้องต้นคือ การคลายล็อกดาวน์ให้คนไทย สามารถท่องเที่ยวได้ เพื่อมุ่งหวังว่าจะสามารถช่วยพลิกฟื้นการท่องเที่ยวไทยในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ พร้อมเปิด 2 โครงการกระตุ้นการท่องเที่ยว ได้แก่ “เราเที่ยวด้วยกัน เฟส 3” และ “ทัวร์เที่ยวไทย” ซึ่งจะเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนใช้สิทธิ์จองโรงแรมที่พักได้ตั้งแต่วันที่ 8 ตุลาคม 2564 จนถึง 23 มกราคม 2565 และเริ่มเข้าพักได้วันที่ 15 ตุลาคมเป็นต้นไป จนถึง 31 มกราคม 2565

สำหรับการเปิดประเทศนำร่องให้ต่างชาติเข้ามาเที่ยวไทยตามรอย 4 จังหวัด ได้แก่ ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี (เกาะสมุย เกาะพะงัน เกาะเต่า) พังงา (เขาหลัก เกาะยาว) และกระบี่ (เกาะพีพี เกาะไหง ไร่เลย์ คลองม่วง ทับแขก) ที่ดำเนินการไปแล้วตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2564 หลังจากนี้ ภาครัฐจะทยอยเปิดจังหวัดนำร่องท่องเที่ยวต่อเนื่องอีก 10 จังหวัดในเดือนพฤศจิกายน 2564 และเปิดเพิ่มอีก 20 จังหวัดในเดือนธันวาคม 2564 และในเดือนมกราคม 2565 จะเปิดเพิ่มอีก 13 จังหวัด จะช่วยสนับสนุนการท่องเที่ยวไทยให้ดีขึ้นได้

ttb analytics ประเมินว่าการคลายล็อกดาวน์จะส่งผลทำให้รายได้จากการท่องเที่ยวกลับมาได้บ้าง โดยกลุ่มนักท่องเที่ยวไทยจะเริ่มทยอยฟื้นตัวกลับมาก่อน เนื่องจากในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีเป็นช่วง High Season ประกอบกับการกระตุ้นการท่องเที่ยวของภาครัฐจะทำให้คนไทยกลับมาท่องเที่ยวได้บ้าง ส่วนกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติคาดว่าการฟื้นตัวยังถูกจำกัด เนื่องจากการเปิดประเทศถูกเลื่อนออกไปเป็นเดือนพฤศจิกายน

ซึ่งการเดินทางของนักท่องเที่ยวต่างชาติต้องวางแผนล่วงหน้าก่อนเข้ามาท่องเที่ยว ทำให้คาดว่านักท่องเที่ยวต่างชาติจะเข้ามาได้เร็วที่สุดคือ ต้นเดือนธันวาคม ทำให้ภาพรวมปี 2564 จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติรวมเพียง 1 แสนคนเท่านั้น จากปีก่อนที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามา 6.7 ล้านคน ทำให้คาดว่าปี 2564 รายได้จากการท่องเที่ยวจากคนไทยและต่างชาติรวมกันจะอยู่ที่ 3.5 แสนล้านบาท โดยอัตราเข้าพักโรงแรมคาดว่าเฉลี่ยอยู่ที่ 14.8%

สำหรับแนวโน้มปี 2565 คาดว่า รายได้นักท่องเที่ยวโดยรวมจะเพิ่มขึ้นเป็น 6 แสนล้านบาท และอัตราการเข้าพักโรงแรมเฉลี่ยอยู่ที่ 23.8% ภายใต้สมมติฐานไม่มีการล็อกดาวน์อีก แต่มีมาตรการการป้องกันการติดเชื้อแบบครอบจักรวาล (Universal Prevention) เช่น เว้นระยะห่างจากคนอื่นอย่างน้อย 1-2 เมตร ในทุกสถานที่ สวมหน้ากากอนามัยและทับด้วยหน้ากากผ้าตลอดเวลา ล้างมือบ่อย ๆ ทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโรคบนพื้นผิวที่สัมผัสบ่อย ๆ ฯลฯ

• นักท่องเที่ยวไทยจะเป็นกลุ่มที่ฟื้นต่อเนื่องจากไตรมาสสุดท้ายของปี 2564 ทำให้อัตราการเข้าพักโรงแรมของนักท่องเที่ยวไทยในปี 2565 เฉลี่ยอยู่ที่ 19.8% ดีขึ้นจากปี 2564 โดยเฉลี่ย 14.1% ทำให้คาดว่ารายจากนักท่องเที่ยวไทยอยู่ที่ 4.6 แสนล้านบาท

• นักท่องเที่ยวต่างชาติจะทยอยฟื้นกลับมา ส่วนใหญ่มาจากลุ่มนักท่องเที่ยวยุโรปและสหรัฐอเมริกาเป็นหลัก เนื่องจากประชากรมีการฉีดวัคซีนครบโดสและเริ่มเปิดประเทศทั้งขาเข้าและขาออก คาดว่าปี 2565 จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเที่ยวในไทยจำนวน 3 ล้านคน ทำให้อัตราการเข้าพักที่มาจากนักท่องเที่ยวต่างชาติปี 2565 เฉลี่ยอยู่ที่ 3.9% จากปี 2564 เฉลี่ยอยู่ที่ 0.7% เท่านั้น และคาดว่ารายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่ที่ 1.4 แสนล้านบาท

• พื้นที่จังหวัดท่องเที่ยวสำคัญที่จะฟื้นตัวก่อนจะเป็นกลุ่มที่พึ่งนักท่องเที่ยวไทยเป็นหลัก ได้แก่ ระยอง ประจวบคีรีขันธ์ และเชียงใหม่ โดยอัตราการเข้าพักโรงแรมปี 2565 จะทยอยกลับมาอยู่ระหว่าง 32.7 – 43.3% เทียบกับศักยภาพอัตราการเข้าพักโรงแรมที่เคยทำได้ในปี 2562 อยู่ระหว่าง 66 – 74%

• พื้นที่จังหวัดท่องเที่ยวสำคัญที่พึ่งพิงรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นหลัก ได้แก่ พังงา ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี ชลบุรี กระบี่ กรุงเทพฯ และสงขลา คาดว่าอัตราการเข้าพักโรงแรมในปี 2565 จะค่อนข้างต่ำอยู่ระหว่าง 11.3 – 27.2% เทียบกับศักยภาพอัตราการเข้าพักโรงแรมที่เคยทำได้ในปี 2562 อยู่ระหว่าง 66 – 83% ถือว่าเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่อง เพราะเน้นกลุ่มต่างชาติเป็นหลัก

ผู้ประกอบการควรหันมาดึงนักท่องเที่ยวไทยให้มากขึ้นได้ในระหว่างที่รอให้มีการผ่อนปรนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามา นอกจากนี้ จำเป็นต้องปฏิบัติตามแนวทางการเข้าใช้บริการตามมาตรการปลอดภัย (Covid Free Setting) เพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่ระบาด และให้เปิดกิจการได้อย่างปลอดภัย ได้แก่ 1) ทำความสะอาดทันทีทั้งก่อนและหลังการให้บริการ โดยทำความสะอาดทุกพื้นที่ทุก ๆ 1-2 ชั่วโมง 2) นำพนักงานทั้งหมดเข้าฉีดวัคซีน และจัดหา Antigen Test Kit (ATK) เพื่อตรวจให้พนักงานทุก 7 วัน

3) จัดทำระบบการเข้ารับบริการ และจัดพื้นที่เข้าใช้บริการไม่ให้หนาแน่นจนเกินไป 4) คัดกรองผู้เข้าใช้บริการโดยต้องผ่านการฉีดวัคซีนครบโดส หรือเป็นผู้ที่เคยมีประวัติการติดเชื้อมาแล้ว 1-3 เดือนและรักษาหายแล้ว มาตรการดังกล่าวจะช่วยทำให้เกิดความปลอดภัยจากการติดเชื้อในสถานประกอบการ และสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าได้

ภาครัฐควรสนับสนุนและช่วยเหลือผู้ประกอบการท่องเที่ยวที่อยู่ในพื้นที่ที่พึ่งพิงรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ เนื่องจากเป็นกลุ่มเปราะบางที่ต้องเข้าไปช่วยเหลือ พยุง และหาทางออกให้ ทั้งด้านการอำนวยความสะดวกในการหารายได้ของผู้ประกอบการ เช่น พิจารณาผ่อนปรนให้พื้นที่ที่มีการระบาดไม่มากให้ประชาชนสามารถท่องเที่ยวได้ และการขยายพื้นที่ท่องเที่ยวสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติด้วยความระมัดระวัง เช่นเดียวกับ กรณีโครงการภูเก็ตแซนด์บ๊อกซ์

รวมถึงพิจารณาช่วยเหลือด้านการเงิน ได้แก่ พิจารณาการเสริมสภาพคล่องสำหรับผู้ประกอบการในพื้นที่ยังพอดำเนินกิจการได้ การพักชำระหนี้ หรือ การให้ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจนไม่สามารถดำเนินกิจการได้ เข้าร่วมโครงการพักทรัพย์พักหนี้กับธนาคารพาณิชย์ เพื่อรอวันที่ผู้ประกอบการกลับมาทำธุรกิจได้ดังเดิม เมื่อการแพร่ระบาดบรรเทาลง

Latest articles

LPP ยืนยันกว่า 260 โครงการปลอดภัย หลังเหตุแผ่นดินไหว นอกชายฝั่งเมียนมา

บริษัท แอล พี พี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด หรือ LPP เปิดเผยว่า จากเหตุการณ์แผ่นดินไหว ขนาด 5.4 แมกนิจูด บริเวณนอกชายฝั่งประเทศเมียนมาล่าสุด แรงสั่นสะเทือนสามารถรับรู้ได้ถึงพื้นที่ใกล้เคียง และอาคารสูงบางแห่งในกรุงเทพมหานคร LPP จึงได้เร่งดำเนินการตรวจสอบสภาพอาคารเบื้องต้นในทุกโครงการที่บริหารจัดการทันที ตามมาตรการดูแลความปลอดภัยที่ LPP กำหนดไว้จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อ 28 มี.ค.ที่ผ่านมา

เนสท์เล่ เดินหน้าขับเคลื่อนการกินอยู่อย่างสมดุล ส่งแคมเปญชวนคนไทย “กินได้ กินดี”

บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด สานต่อความมุ่งมั่นในการส่งเสริมการกินอยู่อย่างสมดุล ผ่านแคมเปญสื่อสารครบวงจร “กินได้ กินดี อร่อยและบาลานซ์ แข็งแรงอย่างยั่งยืน” จุดประกายให้คนไทยบาลานซ์การกิน ให้ตอบโจทย์ทั้งความสุขกับอาหารที่ชอบและประโยชน์ต่อสุขภาพ เพื่อสุขภาพที่ดีอย่างยั่งยืน ลดความเสี่ยงของการเกิดโรค...

ชวนเวิร์กช็อป The Marbling Art: การเดินทางของสีและสายน้ำ โดย เมธาสิทธิ์ บุญเอกบุศย์

TCDC ขอเชิญผู้ที่สนใจร่วมกิจกรรมเวิร์กช็อป The Marbling Art โดย เมธาสิทธิ์ บุญเอกบุศย์ (Metasit Bunaikbuth) ศิลปินภาพพิมพ์ร่วมสมัยซึ่งเชี่ยวชาญในศาสตร์ Marbling Art

แปรงเก่าสะสมเชื้อโรค! ไลอ้อน จุดกระแส “เปลี่ยนแปรงให้เร็วขึ้น” ไม่ต้องรอ 3 เดือน

Systema ตอกย้ำบทบาทผู้นำนวัตกรรมแปรงสีฟัน ด้วยแคมเปญ “เปลี่ยนแปรงให้เร็วขึ้น” ไม่ต้องรอครบ 3 เดือน ชูความเสี่ยงของแปรงเก่าต่อสุขภาพช่องปาก

More like this