ฟิตอย่างไรไม่ให้หัวใจล้มเหลว

Published on

คงเคยได้รับข่าวสารนักกีฬาเกิดภาวะหัวใจล้มเหลว วูบเสียชีวิตคาสนามแข่งขันกีฬา หรือแม้กระทั่งคนทั่วไปที่สามารถเกิดเหตุการณ์เดียวกันนี้ได้ในขณะออกกำลังกาย ซึ่งทุกคนสามารถป้องกันไม่ให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวได้ด้วยการตรวจเช็กหัวใจเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอและครบทุกรายการตามคำแนะนำของแพทย์เฉพาะทางด้านหัวใจ

นพ.อนุสิทธิ์ ทัฬหสิริเวทย์ อายุรแพทย์หัวใจ โรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ กล่าวว่า สถิติของประเทศสหรัฐอเมริการะบุว่า อาการวูบคาสนามทำให้นักกีฬามีโอกาสเสียชีวิตถึง 1 ใน 50,000 คนต่อการแข่งขันกีฬาระดับวิทยาลัยและอาจจะสูงถึง 1 ใน 5,000 คนในการแข่งขันกีฬาบาสเกตบอล โดยในนักกีฬาที่อายุมากกว่า 35 ปีมีโอกาสเสี่ยงที่จะเสียชีวิตมากถึง 5% ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอายุและมักพบในนักกีฬาผู้ชายมากกว่าผู้หญิง

โดยสาเหตุที่ทำให้นักกีฬาเกิดอาการวูบกลางสนามมีหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็น 1) กล้ามเนื้อหัวใจหนาตัว ซึ่งเป็นโรคที่พบได้ในนักกีฬาอาชีพ เกิดจากการหนาตัวของกล้ามเนื้อหัวใจห้องซ้ายล่างที่มีหน้าที่สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกาย หรือเกิดได้จากความผิดปกติทางพันธุกรรม 30% และจะพบได้มากในนักกีฬาผิวดำ โดยหากตรวจเจอว่ามีพังผืดในชั้นกล้ามเนื้อหัวใจแล้วลงแข่งกีฬาหนัก ๆ อาจเกิดแรงกระตุ้นให้หัวใจเต้นผิดจังหวะและเพิ่มโอกาสในการเสียชีวิตแบบ Sudden Death ได้ เพราะเมื่อกล้ามเนื้อหัวใจหนาขึ้นมา จะไปขัดขวางระบบการไหลเวียนของเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้หัวใจทำงานหนัก และถ้านักกีฬาไม่ทราบมาก่อนว่าตนเองมีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจหนา แล้วต้องลงแข่งกีฬาเป็นเวลานาน ๆ และออกแรงมาก ๆ จะส่งผลให้หัวใจทำงานหนัก ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหัวใจวายแบบฉับพลันจนวูบกลางสนามได้

2) กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ เกิดได้จากหลายสาเหตุ ที่พบบ่อยคือการติดเชื้อไวรัส ซึ่งเป็นอันตรายรุนแรง จึงทำให้เป็นข้อห้ามในการออกกำลังกาย เพราะอาจกระตุ้นให้หัวใจห้องล่างซ้ายเต้นผิดจังหวะและหยุดเต้นได้ จะส่งผลให้ผู้ป่วยมีโอกาสเสียชีวิตขณะออกกำลังกายได้สูง 3) หัวใจเต้นผิดจังหวะขณะออกกำลังกาย เพราะการแข่งขันในแต่ละครั้งต้องใช้เวลานาน ทำให้ร่างกายสูญเสียเกลือแร่จนส่งผลให้ระบบไฟฟ้าหัวใจเสียสมดุลและเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะตามมา ในบางกรณีคือไม่เคยทราบมาก่อนว่าตนเองมีภาวะหัวใจผิดปกติ โดยเฉพาะในคนที่อายุน้อยกว่า 35 ปี ทำให้ละเลยการตรวจเช็กสุขภาพหัวใจ รู้ตัวอีกทีอาจสายเกินไป

ในการออกกำลังกายจะมีการจัดโซนจากเบาที่สุดไปจนถึงหนักที่สุด โดยแต่ละโซนจะมีอัตราการเต้นของหัวใจสูงสุดต่อนาที (MPHR) ที่แตกต่างกัน การที่เรารู้ลิมิตของแต่ละโซนจะทำให้สามารถเลือกการออกกำลังกายที่เหมาะสมและดีต่อสุขภาพหัวใจได้ Zone 1 50 – 60% MPHR (Very Light) คือการออกกำลังกายเพื่อช่วยฟื้นฟูร่างกายให้แข็งแรง จะไม่รู้สึกเหนื่อยมาก Zone 2 60 – 70% MPHR (Light) การออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความแข็งแรง ช่วยดึงไขมันออกจากร่างกาย ดีต่อหัวใจและปอด

Zone 3 70 – 80% MPHR (Moderate) ช่วยระบบเผาผลาญ เพิ่มความฟิต เหงื่อออกมาก เหมาะกับคนรักสุขภาพที่ชื่นชอบการออกกำลังกาย Zone 4 80 – 90% MPHR (Hard) ช่วยเพิ่มความทนทานให้แก่กล้ามเนื้อ เพิ่มประสิทธิภาพในการออกกำลังกาย เกิดการหายใจเร็ว กล้ามเนื้อตึงล้ามาก เหมาะกับนักกีฬาหรือคนทั่วไปที่ต้องการเพิ่มความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อ Zone 5 90 – 100% MPHR (Maximum) การเพิ่มศักยภาพในการออกกำลังกาย ทำให้รู้สึกเหนื่อย หายใจเร็ว กล้ามเนื้อเกิดการตึงล้า เหมาะกับนักกีฬาที่ฝึกซ้อมเพื่อเตรียมตัวลงแข่งขัน

การตรวจเช็กความฟิตของนักกีฬาก่อนลงแข่งมีความสำคัญอย่างมาก เพราะจะช่วยป้องกันอาการวูบคาสนามและหัวใจล้มเหลวขณะออกกำลังกายได้ โดยสามารถทำได้หลายวิธี เช่น 1) การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG – Electrocardiogram) เป็นการคัดกรองความผิดปกติของหัวใจ ด้วยการตรวจคลื่นไฟฟ้าที่เกิดขึ้นในกล้ามเนื้อของหัวใจ ทำให้สามารถลดการเสียชีวิตในกลุ่มของนักกีฬาที่มีอายุน้อยกว่า 35 ปีได้ถึง 90% 2) การตรวจสมรรถภาพหัวใจด้วยการวิ่งสายพาน (Exercise Stress Test) จะทำให้ทราบระบบไหลเวียนเลือดและกราฟไฟฟ้าหัวใจขณะออกกำลังกาย ซึ่งจะช่วยคัดกรองโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตันในระยะที่มากกว่า 70% ได้

3) ตรวจหัวใจด้วย MRI (Magnetic Resonance Imaging) แสดงการบีบตัวของหัวใจได้ใกล้เคียงอวัยวะจริงมากที่สุด สามารถแสดงตำแหน่งทางเดินของเส้นเลือดหัวใจว่าอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องหรือไม่ ที่สำคัญคือ ใช้ในการตรวจค้นหาภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ตรวจหาพังผืดในโรคกล้ามเนื้อหัวใจหนาตัว เพื่อป้องกันหัวใจเต้นผิดจังหวะขณะออกกำลังกาย

นพ.อนุสิทธิ์ ทัฬหสิริเวทย์

4) ตรวจหาคราบหินปูนหลอดเลือดหัวใจ (Coronary Calcium Scan: CAC) เป็นการประเมินความเสี่ยงการเกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดที่มีสาเหตุจากหลอดเลือดหัวใจตีบในผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป (Automated External Defibrillator: AED) อุปกรณ์ที่ช่วยช็อกไฟฟ้ากระตุกหัวใจเพื่อหยุดการเต้นของหัวใจที่ผิดจังหวะ ช่วยให้หัวใจกลับมาเต้นในจังหวะที่ถูกต้อง และควรมีเจ้าหน้าที่ที่สามารถทำการช่วยชีวิตได้ทันทีหากมีเหตุฉุกเฉินขณะทำการแข่งขัน ซึ่งการช่วยเหลือจะต้องถูกวิธีและอยู่ระหว่าง 3 – 5 นาที เพื่อเพิ่มโอกาสรอดชีวิต ซึ่งก่อนช่วยเหลือควรตรวจสอบสภาพแวดล้อมว่าปลอดภัยหรือมีความเสี่ยงหรือไม่ โทรสายด่วน 1669 หรือรถพยาบาลสนามที่มีเครื่อง AED เพื่อทำการช่วยเหลือ โดยเริ่มจากการเรียกผู้ป่วยฉุกเฉิน ถ้าไม่มีการตอบสนองให้ทำการฟื้นคืนชีพโดยกดหน้าอกทันทีจนกว่าเครื่อง AED หรือทีมรถพยาบาลจะมาถึง

สำหรับนักกีฬาอาชีพสิ่งสำคัญคือการตรวจเช็กร่างกายอย่างสม่ำเสมอทุกปีเพื่อให้มั่นใจว่าร่างกายพร้อมที่จะลงแข่ง โดยเฉพาะการตรวจเช็กสุขภาพหัวใจเป็นเรื่องที่ไม่ควรละเลยอย่างเด็ดขาด ส่วนคนที่ชื่นชอบการออกกำลังกายควรตรวจเช็กสุขภาพทุกปี ที่สำคัญหมั่นสังเกตความผิดปกติของร่างกายจะได้พบแพทย์ได้ทันท่วงที

Latest articles

เผยเทรนด์ฮิตปลายปี 68 กลุ่ม Gen Y – Gen Z ชอบรวมกลุ่มเข้าป่า ส่งสินค้ากลางแจ้งยอดพุ่ง

เผยเทรนด์ฮิตปลายปี 68 กลุ่ม Gen Y – Gen Z  กิจกรรมกลางแจ้ง รวมกลุ่มเข้าป่า ตั้งแคมป์ ให้ธรรมชาติฮีลใจ”ดีแคทลอน ตอบรับกระแสปลายปี เปิดสาขาใหม่ บางกะปิ ด้วยกลยุทธ์ “Bring Sport Closer to People”

ซีเล็ค x เด็กสมบูรณ์ เปิดตัว “ปลาทูน่านึ่งซีอิ๊ว” ชู SMART PROTEIN สะดวกดีต่อสุขภาพ

ซีเล็ค x เด็กสมบูรณ์ เปิดตัว “ปลาทูน่านึ่งซีอิ๊ว” ชู SMART PROTEIN สะดวกดีต่อสุขภาพ คู่ความอร่อยคูณสองแบบต้นตำรับ 

SABINA จัดแคมเปญโปรโมชั่น 11.11 ดีลแรง กระตุ้นยอดขายไตรมาสสุดท้าย

“ซาบีน่า” จัดแคมเปญโปรโมชั่นเอาใจเหล่านักช้อป “11.11 สิ้นสุดการรอคอยน์ ซาบีน่าลดให้เลย 1,111 บาท” เมื่อช้อปสินค้าครบ 2,500 บาท

 เปิดตัว Canon EOS R6 Mark III ความละเอียด 32.5 ล้านพิกเซล รองรับวิดีโอแบบ Open Gate

EOS R6 Mark III เปิดมาตรฐานใหม่แห่งการสร้างสรรค์ ด้วยความละเอียดภาพ 32.5 ล้านพิกเซล บันทึกวิดีโอไฟล์ RAW 7K 60p และรองรับการถ่ายวิดีโอแบบ Open Gate

More like this