ttb analytics ประเมิน ดอลลาร์แข็งค่า ทะลุ 34 บาท ในปีหน้า

Published on

ttb analytics ประเมิน นโยบายการคลังและทิศทางการเงินสหรัฐฯ หนุนดอลลาร์แข็งค่าระยะยาว ประเมินค่าเงินบาททะลุ 34 บาท ในปีหน้า

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics ประเมินทิศทางสกุลเงินดอลลาร์มีแนวโน้มแข็งค่าระยะยาว ในช่วง 1 – 2 ปีข้างหน้า เนื่องด้วย เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา มีทิศทางการฟื้นตัวดีกว่าเศรษฐกิจภูมิภาคอื่นทั่วโลก จากการสนับสนุนของมาตรการการคลัง ผ่านการกระตุ้นการใช้จ่ายและการลงทุนเชิงโครงสร้างขนาดใหญ่ ส่งผลให้แนวทางการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) มีแนวโน้มตึงตัวมากขึ้น จากแผนการปรับลดการซื้อสินทรัพย์ (QE tapering) และปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายในอนาคต ทำให้สกุลเงินดอลลาร์น่าสนใจกว่าสกุลเงินอื่น แต่ค่าเงินบาทไทยและเงินเอเชียอ่อนค่าต่อเนื่อง เช่นเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นในช่วงปี 2556-2558

ในปี 2563 ที่ผ่านมา ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลให้เกิดการเพิ่มสภาพคล่องปริมาณมหาศาลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งทำให้สกุลเงินดอลลาร์ปรับตัวอ่อนค่าลงกว่า 7.6% อย่างไรก็ตาม ทิศทางสกุลเงินดอลลาร์ มีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนกลับมาแข็งค่าอีกครั้ง นับตั้งแต่ช่วงครึ่งปีหลังของปี 2564 อันเป็นผลมาจากนโยบายการคลัง และนโยบายการเงินของสหรัฐฯ

นโยบายการคลังของสหรัฐฯ ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่ทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่งกว่าภูมิภาคอื่นทั่วโลก โดยสหรัฐฯ ได้อนุมัติงบประมาณกว่า 1.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นกว่า 27% ของจีดีพี ซึ่งถือเป็นการใช้งบประมาณทางการคลังที่สูงเป็นอันดับสองของโลก รองจากประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น ผลจากการดำเนินนโยบายทางการคลัง ส่งผลให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชัดเจน ดังเช่นในช่วงไตรมาส 1 ที่ผ่านมา มาตรการแจกจ่ายเม็ดเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้จีดีพีของสหรัฐฯ เติบโต 6.4% ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตสูงสุดในรอบ 8 ปี และเป็นอัตราการเติบโตที่สูงกว่าประเทศพัฒนาแล้วในสหภาพยุโรป

ในระยะยาว ภายหลังจากวิกฤตการระบาดของโรคโควิด-19 เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง จากการกระตุ้นเพิ่มเติมของนโยบายการคลังขนาดใหญ่ ที่มีการวางแผนดำเนินการในหลายด้าน ทั้งการลงทุนในโครงสร้างและการปรับปรุงสวัสดิการขั้นพื้นฐานให้แก่ประชาชน รวมมูลค่าเบื้องต้นกว่า 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ สามารถเติบโตในระยะยาว และแข็งแกร่งกว่าเมื่อเทียบกับประเทศในภูมิภาคยุโรปที่ขาดแรงสนับสนุนทางด้านนโยบายการคลัง

การฟื้นตัวที่ดีของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่งผลต่อเนื่องไปถึงการเปลี่ยนแปลงนโยบายทางการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ซึ่งจากการประชุมในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา FED ได้เริ่มสื่อสารถึงทิศทางการดำเนินนโยบายที่ตึงตัวมากขึ้นในอนาคต ผ่านการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot plot) และพูดคุยถึงแผนลดการเข้าซื้อสินทรัพย์ (QE Tapering) ซึ่งแตกต่างจากแนวทางการสื่อสารของธนาคารกลางยุโรป และ ญี่ปุ่น ที่ยังไม่มีความคิดลดสภาพคล่องผ่านแผนลดการเข้าซื้อสินทรัพย์

ความคาดหวังของตลาดการเงินต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่มีการฟื้นตัวต่อเนื่อง และปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ กลับมีความนิยมเพิ่มมากขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับสกุลเงินต่างประเทศอื่น ๆ ส่งผลให้สกุลเงินดอลลาร์มีทิศทางแข็งค่าเพิ่มขึ้น และกดดันค่าเงินบาทไทยให้อ่อนค่าลง ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าว เคยเกิดขึ้นในอดีตในช่วงปี 2556 ที่ผ่านมา ที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีการเติบโตที่ดี และตลาดการเงินมีความคาดหวังต่อนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่ตึงตัวเพิ่มมากขึ้น

กลางปี 2556 นาย Ben Bernanke ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ ในสมัยนั้น ได้ประกาศแผนลดการเข้าซื้อสินทรัพย์ (QE Tapering) ต่อสภาคองเกรส ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของการอ่อนค่าอย่างรุนแรงต่อเนื่องของค่าเงินบาทและสกุลเงินต่าง ๆ ทั่วเอเชีย รวมระยะเวลากว่า 2 ปี  หากนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2556 ที่ค่าเงินบาทอ่อนค่ากว่า 12.1% ตลอดช่วงระยะเวลานั้นมีการประกาศแผนลดการเข้าซื้อสินทรัพย์ โดยช่วงต้นปี 2558 ตลาดการเงินคาดการณ์ถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ ทำให้ปลายปี 2558 ค่าเงินบาทไทยอ่อนตัวต่อเนื่อง จนถึงจุดสูงสุดที่ระดับ 36.37 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ  โดยอ่อนค่ากว่า 11.7 % ในช่วงระหว่างเดือนมีนาคมถึงกันยายน 2558

โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับค่าเงินบาทไทย ได้ส่งผลกระทบเช่นเดียวกันต่อสกุลเงินต่าง ๆ ทั่วเอเชีย โดยสกุลเงินที่ได้รับผลกระทบมากในช่วงเวลาดังกล่าวคือ สกุลเงินเยน และ รูเปียห์ ซึ่งมีการอ่อนค่าลงถึง 20.7% และ 29.8% ตามลำดับ ในช่วงระยะเวลา 2 ปีนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2556

จากปรากฏการณ์ดังกล่าวเมื่อ 8 ปีที่แล้ว ทำให้สถานการณ์ในปัจจุบันเป็นที่น่าจับตามอง เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ เป็นผู้นำในการฟื้นตัวจากวิกฤตโควิด-19 ส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ เริ่มโต้แย้งถึงการลดการเข้าซื้อสินทรัพย์ (QE Tapering) และปรับการคาดการณ์ในการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของปี 2566 ซึ่งอาจส่งผลต่อตลาดการเงินทำให้ค่าเงินบาทและสกุลเงินเอเชียอ่อนค่าในระยะยาวต่อเนื่องไปอีก 1-2 ปีข้างหน้า

เมื่อพิจารณาถึงปัจจัยภายในประเทศในอนาคต พบว่า ความเสี่ยงจากการระบาดของโรคโควิด-19  ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวช้ากว่าเศรษฐกิจอื่นทั่วโลก โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว แม้มีโครงการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ แต่ในภาพรวมต้องใช้เวลาถึง 2 ปี กว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะฟื้นตัวใกล้เคียงระดับเดิมก่อนการระบาด ยิ่งไปกว่านั้น การฉีดวัคซีนภายในประเทศที่ล่าช้า อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของชาวต่างชาติในด้านการลงทุนและดำเนินธุรกิจ จึงทำให้ประเทศไทยมีแรงสนับสนุนเพียงเล็กน้อยต่อการแข็งค่าของเงินบาทจากกระแสเงินทุนไหลเข้า

ttb analytics จึงประเมินว่าการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ เป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลให้ค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าไปจนถึง 33.50 – 34.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงกลางปี 2565 และค่าเงินบาทอาจมีแนวโน้มอ่อนค่าเพิ่มขึ้นต่อเนื่องอีก จนถึงสิ้นปี 2566 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีการคาดการณ์ถึงการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯในอนาคต

Latest articles

เผยเทรนด์ฮิตปลายปี 68 กลุ่ม Gen Y – Gen Z ชอบรวมกลุ่มเข้าป่า ส่งสินค้ากลางแจ้งยอดพุ่ง

เผยเทรนด์ฮิตปลายปี 68 กลุ่ม Gen Y – Gen Z  กิจกรรมกลางแจ้ง รวมกลุ่มเข้าป่า ตั้งแคมป์ ให้ธรรมชาติฮีลใจ”ดีแคทลอน ตอบรับกระแสปลายปี เปิดสาขาใหม่ บางกะปิ ด้วยกลยุทธ์ “Bring Sport Closer to People”

ซีเล็ค x เด็กสมบูรณ์ เปิดตัว “ปลาทูน่านึ่งซีอิ๊ว” ชู SMART PROTEIN สะดวกดีต่อสุขภาพ

ซีเล็ค x เด็กสมบูรณ์ เปิดตัว “ปลาทูน่านึ่งซีอิ๊ว” ชู SMART PROTEIN สะดวกดีต่อสุขภาพ คู่ความอร่อยคูณสองแบบต้นตำรับ 

SABINA จัดแคมเปญโปรโมชั่น 11.11 ดีลแรง กระตุ้นยอดขายไตรมาสสุดท้าย

“ซาบีน่า” จัดแคมเปญโปรโมชั่นเอาใจเหล่านักช้อป “11.11 สิ้นสุดการรอคอยน์ ซาบีน่าลดให้เลย 1,111 บาท” เมื่อช้อปสินค้าครบ 2,500 บาท

 เปิดตัว Canon EOS R6 Mark III ความละเอียด 32.5 ล้านพิกเซล รองรับวิดีโอแบบ Open Gate

EOS R6 Mark III เปิดมาตรฐานใหม่แห่งการสร้างสรรค์ ด้วยความละเอียดภาพ 32.5 ล้านพิกเซล บันทึกวิดีโอไฟล์ RAW 7K 60p และรองรับการถ่ายวิดีโอแบบ Open Gate

More like this