โพสต์ – เม้นท์ – แชร์ – ชัวร์ : จากความรู้วิจัย เพื่อคนไทยมีสุขภาพดี

Published on

ปัจจุบันสังคมกำลังเผชิญกับภาวะข้อมูลข่าวสารท่วมท้น จากการไหลเวียนของข่าวสารที่รวดเร็ว และทุกคนเป็นทั้งผู้รับสารและส่งสารได้ในคราวเดียวกัน โดยเฉพาะในสื่อโซเชียล ซึ่งมีข้อมูลข่าวสารอยู่มากมาย แต่จะมีความถูกต้องน่าเชื่อถือที่จะนำไปใช้ประโยชน์ได้หรือไม่ จึงเป็นประเด็นที่ประชาชนควรให้ความสำคัญ

งานวิจัย “ทบทวนสถานการณ์และกลไกการจัดการความแตกฉานด้านสุขภาพ” ของ ผศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ นักวิจัยสังกัดคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยการสนับสนุนทุนวิจัยของสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) รายงานว่า การทบทวนวรรณกรรมวิจัยต่างประเทศด้านพฤติกรรมศาสตร์ พบว่า ตั้งแต่ตื่นนอนถึงนอนหลับในแต่ละวันของคนเราจะมีเรื่องราวให้ใช้การคิดและตัดสินใจเฉลี่ย 2,500-10,000 ครั้ง/วัน โดยพบว่า มีเพียงร้อยละ 20 ที่ใช้เหตุผลและความรู้ประกอบการตัดสินใจ ส่วนร้อยละ 80 มีการใช้อารมณ์และบริบทแวดล้อมตัดสินใจ ซึ่งมีปัจจัยเกี่ยวข้องมาจากการเชื่อโฆษณา การเชื่อตามวัฒนธรรม ค่านิยม บริบทสังคม เป็นต้น

ดังนั้น ข้อมูลจากการบอกต่อหรือโฆษณาในโลกออนไลน์ เช่น ผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพ ลดความอ้วน อาหารเสริมต่างๆ ล้วนมุ่งให้เกิดการซื้อจึงเน้นการให้ข้อมูลเพื่อโน้มน้าวใจมากกว่าเรื่องความถูกต้องครบถ้วนของเนื้อหา หากขาดการไตร่ตรองอาจหลงเชื่อ ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ หรือในอีกด้านหนึ่ง ประชาชนที่มีความรู้เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพอยู่บ้างและพยายามปรับเปลี่ยนพฤติกรรม แต่ยังอาจปฏิบัติตัวได้ไม่ถูกต้องทั้งหมด เพราะอาจได้รับข้อมูลไม่เพียงพอ เช่น การเข้าใจว่าการลดความอ้วน เพียงการกินในปริมาณน้อยลงในประเภทอาหารแบบเดิมหรือออกกำลังกายด้วยการเดิน วันละ 10 นาที 3 วันต่อสัปดาห์ เพื่อหวังว่าน้ำหนักจะลดลง ในความเป็นจริงแล้วแนวทางปฏิบัติดังกล่าวไม่ช่วยต่อการลดน้ำหนักได้เพียงพอ

สวรส. ชวนแชร์ความรู้จากวิจัย เพื่อการมีสุขภาพดี
ทุกวันนี้ ความรอบรู้ทางสุขภาพ (Health Literacy) นับว่ามีความสำคัญอย่างมากในชีวิตประจำวันของคนทุกกลุ่มวัย ซึ่ง “ความรอบรู้ทางสุขภาพ” หมายถึง ระดับความรอบรู้และความสามารถของบุคคลในการกลั่นกรอง ประเมิน ข้อมูลต่างๆ ที่ได้รับจากทุกช่องทาง และตัดสินใจจากข้อมูลที่ผ่านการกลั่นกรองและประเมินแล้วนำไปสู่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ หรือเลือกใช้บริการและผลิตภัณฑ์สุขภาพได้อย่างเหมาะสม เพื่อป้องกันการเจ็บป่วยได้อย่างถูกต้อง

และในวันนี้ สวรส. ขอให้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับความรู้ทางสุขภาพ และชวนแชร์เกร็ดความรู้สุขภาพจากแหล่งข้อมูลวิจัยที่น่าเชื่อถือ เพื่อประโยชน์ในการดูแลสุขภาพของตนเองและคนในครอบครัว

ความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง : การลดน้ำหนัก ต้องพยายามกินอาหารให้น้อยลง (ในอาหารประเภทเดิม) หรืออดอาหาร และออกกำลังกาย วันละ 5-10 นาที 3 วันต่อสัปดาห์ !

ข้อมูลจากงานวิจัยพบว่าการลดน้ำหนัก ควรผสมผสานทั้งการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการกิน และเพิ่มการใช้พลังงานผ่านการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องและเพียงพอ โดยการลดน้ำหนักให้ได้ผล คือ

การบริโภคอาหาร
 การปรุงอาหารที่ให้พลังงาน ไขมัน และน้ำตาลต่ำ เป็นเคล็ดลับในการลดน้ำหนัก เช่น การตัดหนังหรือไขมันบนเนื้อสัตว์ทิ้ง เลี่ยงอาหารทอดและผัด ใช้กระทะแบบไม่ต้องใช้น้ำมันมาก ช้อนไขมันจากน้ำต้มกระดูกหรือส่วนบนของอาหารออก ก่อนนำมาปรุงอาหารหรือรับประทาน เป็นต้น
 ควบคุมพลังงานจากอาหารที่บริโภคในแต่ละวันให้ได้น้อยกว่าพลังงานที่ใช้ออกไป โดยทำให้ร่างกายขาดดุลพลังงานวันละ 500 กิโลแคลอรี่เป็นเวลา 1 สัปดาห์ น้ำหนักจะลดลง 0.5 กิโลกรัม ทั้งนี้ ผู้หญิงควรได้รับพลังงานต่ำสุดเฉลี่ย 1,200 กิโลแคลอรี่/วัน และผู้ชายควรได้รับพลังงานต่ำสุดเฉลี่ย 1,600 กิโลแคลอรี่/วัน เพื่อป้องกันการขาดวิตามินและเกลือแร่ โดยกินอาหารให้ครบ 3 มื้อ และกระจายพลังงานให้ได้ตามกำหนด จะช่วยลดความหิวและอ่อนเพลียได้

การออกกำลังกาย
 ควรทำทุกวันอย่างน้อยวันละ 30 นาที ในคนอ้วนควรออกกำลังกายให้ได้วันละ 60 นาที ความหนักของการออกกำลังกายควรอยู่ในระดับปานกลาง (อัตราการเต้นของหัวใจที่ 60-65% ของอัตราการเต้นสูงสุด) เช่น การเดินเร็ว วิ่งจ๊อกกิ้ง แอโรคบิก ปั่นจักรยาน โดยทำให้ได้อย่างน้อย 3-5 ครั้ง/สัปดาห์ หรือทำได้ทุกวันยิ่งดี จะช่วยเผาผลาญพลังงานได้เฉลี่ย 500-700 กิโลแคลอรี่/ครั้ง ซึ่งควรทำต่อเนื่อง 12 สัปดาห์ หรืออาจใช้หลักการ ถ้าต้องการลดน้ำหนัก 0.5 กิโลกรัมใน 1 สัปดาห์ ต้องทำให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานเพิ่มขึ้นทั้งสิ้น 3,500 กิโลแคลอรี่/สัปดาห์
ที่มาข้อมูล : ประเสริฐ บุญเกิด และคณะ, “ผลการออกกำลังและการบริโภคอาหารต่อการเกิดโรคสมองเสื่อม โรคไตเรื้อรัง โรคเบาหวาน และโรคหัวใจและหลอดเลือดในประชากรไทยในจังหวัดอุบลราชธานี ปีที่ 2”, สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข, 2560

ความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง : ความหวานจากน้ำตาลเพียงเท่านั้น ที่เป็นต้นเหตุทำให้เกิด “โรคเบาหวาน” !

ข้อมูลจากงานวิจัย : พบว่าความจริงแล้ว น้ำตาลไม่ได้เป็นต้นเหตุเดียวที่ทำให้เกิด “โรคเบาหวาน” ได้เพียงเท่านั้น แต่ยังมีสาเหตุอื่นๆ ที่ทำให้เกิดโรคเบาหวานได้เช่นกัน ได้แก่

การนอนดึกตื่นสาย
 การนอกดึกตื่นสาย ถือเป็นการนอนผิดเวลาธรรมชาติไป ทำให้ร่างกายมีค่าน้ำตาลในเลือดสูง และจะตอบสนองต่อเบต้าเซลล์ในตับอ่อน ที่ทำหน้าที่ผลิตอินซูลินเพื่อการรักษาระดับน้ำตาลในกระแสเลือดได้ไม่เพียงพอ จึงเป็นสาเหตุให้คนที่นอนดึกตื่นสายจะมีค่าระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าคนที่เข้านอนเร็ว

การนอนกรน หรือ มีภาวะการอุดกั้นทางเดินหายใจส่วนบนระหว่างนอนหลับ
 การกรน จะทำให้เกิดภาวะพร่องออกซิเจนในเลือด ส่งผลให้การตอบสนองต่ออินซูลินลดลง ร่างกายจึงต้องกระตุ้นการหลั่งอินซูลินเพิ่มขึ้น เป็นต้นเหตุภาวะดื้อต่ออินซูลิน ซึ่งอินซูลินจะไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้เป็นปกติ เป็นสาเหตุของการเกิดโรคเบาหวานตามมา

ที่มาข้อมูล : ธัญญรัตน์ อโนทัยสินทวี และคณะ, “อัตราการพัฒนาไปเป็นโรคเบาหวานและการศึกษาความสัมพันธ์เกี่ยวกับปัจจัยการนอนหลับและระดับกรดยูริคในเลือดกับระดับน้ำตาลสะสมในเลือด (HbA1c) ในผู้ที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดเริ่มสูงหรือภาวะก่อนจะเป็นเบาหวาน”, สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข, 2561

ความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง : ผู้ป่วยเบาหวานที่มีแผลที่เท้าควรใช้เท้าผิงไฟเพื่อคลายหนาว หรือเอาเท้าแช่น้ำร้อน เพื่อฆ่าเชื้อโรค !

ข้อมูลจากงานวิจัย : พบว่าการใช้เท้าผิงไฟและเอาเท้าแช่น้ำร้อน อาจทำให้เท้าเปื่อยและแผลติดเชื้อได้ง่ายจนอาจต้องถูกตัดเท้าในผู้ป่วยเบาหวานที่มีแผล ดังนั้นการดูแลตนเองที่ถูกต้องอย่างง่ายๆ ทำได้ ดังนี้
 หลีกเลี่ยงการแช่เท้า หรือย่ำในน้ำที่อาจมีเชื้อโรค, ล้างเท้าทุกวัน, ตรวจเท้า โดยคลำหาตาปลาหรือหนังเท้าว่าหนาขึ้นผิดปกติหรือไม่, ทาครีมหรือน้ำมันมะกอกที่เท้าเป็นประจำ, ดูแลผิวหนังและตัดเล็บให้สะอาดอยู่เสมอ, ใส่ถุงเท้าก่อนใส่รองเท้า, ใส่รองเท้าตลอดเวลาแม้อยู่ในบ้าน, ตรวจสอบภายในรองเท้าก่อนสวม, ใช้รองเท้าที่ขนาดเหมาะสมกับเท้า, ออกกำลังกายเท้าเพื่อให้เท้าแข็งแรง เช่น ฝึกใช้เท้าขยำหนังสือพิมพ์ ทั้งนี้ หากมีอาการไม่ดีขึ้นควรรีบพบแพทย์ เพื่อรับการรักษาก่อนแผลเบาหวานลุกลาม จนต้องถูกตัดขา/เท้าทิ้ง
ที่มาข้อมูล : กิตติพันธุ์ ฤกษ์เกษม และคณะ, “ภาระและระบบการดูแลโรคหลอดเลือดส่วนปลาย ปีที่ 3”, สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข, 2561

ความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง : ควันบุหรี่ ทำให้เกิดโรคถุงลมโป่งพองเท่านั้น !
ข้อมูลจากงานวิจัย : พบว่า ควันบุหรี่ไม่เพียงเป็นอันตรายกับคนที่สูบ และคนรอบข้างหรือคนรับควันบุหรี่มือสองเท่านั้น แต่ยังเป็นปัจจัยเสี่ยงที่กระตุ้นให้เด็กที่เคยเป็นโรคหอบหืด เกิดอาการกำเริบได้อีกด้วย
 งานวิจัยพบว่า สภาวะแวดล้อมของผู้ป่วยที่มีคนสูบบุหรี่ในบ้านหรือบริเวณบ้าน เป็นปัจจัยสัมพันธ์ที่นำไปสู่การเข้ารับการรักษาฉุกเฉินหรือรักษาตัวช้ำของเด็กที่ป่วยเป็นโรคหอบหืด เนื่องจากได้รับควันบุหรี่ ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้ท่อทางเดินหายใจตีบแคบ ทำให้มีอาการหายใจลำบาก ไอ หายใจถี่ มีเสียงวี้ด แน่นหน้าอก ดังนั้นควรจัดการสภาพแวดล้อมบริเวณบ้านให้ปราศจากควันบุหรี่ ไม่เพียงจะช่วยลดปัญหาภาวะหอบเฉียบพลันในลูกหลาน แต่ยังลดปัจจัยเสี่ยงจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรังอื่นๆ ได้อีกด้วย
ที่มาข้อมูล : ภาสกร ศรีทิพย์สุโข และคณะ, “ภาระทางเศรษฐศาสตร์และการพยากรณ์โรคของเด็กก่อนวัยเรียนที่มีภาวะหอบเฉียบพลันและฟังปอดพบเสียงวี้ด”, สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข, 2561

ทั้งหมดนี้ คือข้อมูลความรู้จากงานวิจัยที่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ ซึ่งทุกคนสามารถนำไปใช้เป็นแนวทางดูแลตนเองได้อย่างง่ายๆ ในชีวิตประจำวันเพื่อการมีสุขภาพดี โดยสามารถติดตามงานวิจัยฉบับเต็มของสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ได้ทาง http://kb.hsri.or.th

Latest articles

ทช.-SCG 3D Printing โชว์ผลงานฐานลงเกาะตัวอ่อนปะการัง ฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเล

กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และ SCG 3D Printing โชว์ผลงาน “ฐานลงเกาะตัวอ่อนปะการัง Whirling Wave Pagoda หรือเจดีย์เกลียวคลื่น” ไอเดียต้นแบบรางวัลชนะเลิศจากโครงการ “ARTIFICIAL REEFS HACKATHON 2025”

บัตรเครดิต ttb จัดแคมเปญ “ยิ่งแลก ยิ่งลุ้น” ผ่านแอป ttb touch

บัตรเครดิต ttb จัดแคมเปญ “ยิ่งแลก ยิ่งลุ้น” ผ่านแอป ttb touch รับสิทธิ์ลุ้นรางวัลทองคำรวม 4 บาท และรางวัลอื่น ๆ รวมกว่า 250,000 บาท

InterContinental Doors Unlocked 2025 ชวนท่องไปกับประสบการณ์ระดับโลก

Doors Unlocked by InterContinental เปิดประตูสู่โลกของผู้นำเทรนด์และประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟ พาแขกผู้เข้าพักสัมผัสเบื้องหลังงานใหญ่ระดับโลก ตั้งแต่แฟชั่นวีคไปจนถึงเทศกาลภาพยนตร์

“ภาวุธ” ดันตลาดสตาร์ทอัพ Data AI ลงทุน PAM เสริมแกร่ง SME ไทยแข่งขันได้

ธุรกิจไทยควรได้ใช้ข้อมูลที่เป็นของตัวเอง ไม่ใช่ปล่อยให้แพลตฟอร์มต่างชาติเก็บและควบคุม โดย PAM จะเป็นเครื่องมือศูนย์รวมข้อมูลลูกค้าที่ทำให้ SME ไทยเข้าถึงลูกค้าได้ตรงจริง และใช้ข้อมูลเพื่อพัฒนากลยุทธ์การตลาดได้อย่างเต็มที่

More like this