ttb analytics คาดโรงพยาบาลเอกชนปี 2568 เติบโตต่ำที่ 3%

Published on

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics มองว่าธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนเริ่มส่งสัญญาณการชะลอตัว โดยประเมินปี 2568 สร้างรายได้ราว 3.3 แสนล้านบาท บนแรงกดดันจากจำนวนอุปสงค์ของผู้เข้ารับบริการทางการแพทย์เริ่มเข้าสู่จุดอิ่มตัว การทำธุรกิจในรูปแบบเชิงรุกอาจช่วยเพิ่มโอกาสขยายฐานตลาดใหม่ ๆ และสร้างรายได้เพิ่มเติม นอกจากนี้แรงกดดันใหม่จากเงื่อนไข Copayment อาจส่งผลกระทบกับธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนในระยะยาว จึงเป็นประเด็นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดเพื่อประเมินผลกระทบอย่างชัดเจนในลำดับถัดไป

ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนของไทยนับเป็นธุรกิจที่มีความเสี่ยงต่ำและเติบโตได้อย่างต่อเนื่องในช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมา สะท้อนผ่านผลประกอบการของกลุ่มโรงพยาบาลเอกชนที่ขยายตัวเฉลี่ย 11.6% ต่อปี (2555-2565) แต่อย่างไรก็ตามหากพิจารณาถึงสถานการณ์ในปัจจุบันแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนเริ่มมองเห็นสัญญาณการชะลอตัว โดยปี 2566 ผลประกอบการหดตัวลง 0.6% YoY และในปี 2567 ที่เติบโตประมาณเพียง 4% ซึ่งมาจากการเติบโตด้วยผลของราคาเป็นหลัก

จากการวิเคราะห์ผ่านงบการเงินกลุ่มโรงพยาบาลเอกชนในตลาดหลักทรัพย์ พบว่า ค่าใช้จ่ายบริการทางการแพทย์ของผู้ป่วยนอกต่อครั้งเฉลี่ยเพิ่มขึ้นราว 5-6% ต่อปี แต่อย่างไรก็ตามในระยะถัดไปจำนวนอุปสงค์ของผู้เข้ารับบริการทางการแพทย์ในประเทศเริ่มเข้าสู่จุดอิ่มตัวมากขึ้น เนื่องจากข้อจำกัดด้านโครงสร้างประชากรที่มีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่อง (บนสมมติฐานอัตราการเจ็บป่วยต่อประชากรคงที่ บนจำนวนประชากรที่ปรับลดลง) ประกอบกับค่ารักษาพยาบาลที่มีแนวโน้มสูงขึ้นกดดันให้ผู้บริโภคจะต้องหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้นเพื่อลดความเสี่ยงในการเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล ส่งผลให้รูปแบบการดำเนินธุรกิจแบบเน้นการรักษาที่ผ่านมาไม่ตอบโจทย์ในการขยายตลาดเพื่อรองรับกลุ่มอุปสงค์ใหม่ๆได้อย่างมีนัย

โดยในปี 2568 ttb analytics คาดว่าจะเป็นปีที่ท้าทายมากขึ้นสำหรับธุรกิจโรงพยาบาลเอกชน เนื่องจากรายได้ของธุรกิจขยายตัวในอัตราที่ต่ำเพียง 3% ด้วยรายได้ 3.3 แสนล้านบาท บนแรงกดดันจากรูปแบบของผู้เข้ารับบริการทางการแพทย์ส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในลักษณะการเข้ารับการรักษา โดยเป็นความต้องการที่ไม่อาจคาดการณ์ได้ (Unpredictable Demand) ซึ่งจะใกล้เข้าสู่ภาวะที่ตลาดอิ่มตัวจากโครงสร้างประชากรที่คนวัยทำงานและผู้สูงอายุเริ่มตระหนักในการดูแลสุขภาพเพิ่มมากขึ้น และอาจทำให้ลดความน่าจะเป็นในการเข้ารับบริการเพื่อรักษาพยาบาล รวมถึงสถานการณ์ที่เด็กเล็กซึ่งเป็นกลุ่มอุปสงค์สำคัญมีอัตราการเกิดที่ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเวลาที่ผ่านมา ส่งผลให้ปี 2568 นี้ ttb analytics คาดว่าแผนการดำเนินกลุ่มธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนในรูปแบบเชิงรุกจะมีความแตกต่างไปจากเดิม ซึ่งจะช่วยเพิ่มพื้นที่ในการสร้างรายได้บนตลาดใหม่ ๆ โดยทิศทางการทำตลาดเชิงรุกที่ยังมีศักยภาพในการเติบโต สามารถแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ ดังนี้

1. ขยายตลาดผู้ป่วยชาวต่างชาติ ซึ่งเป็นตลาดที่ยังเติบโตได้ดี โดยรายได้จากผู้ป่วยชาวต่างชาติย้อนหลัง 5 ปี (2562-2566) ขยายตัวเฉลี่ย 7.6% ต่อปี ในขณะที่รายได้จากผู้ป่วยชาวไทยขยายตัวเฉลี่ย 4.9% ต่อปี เนื่องจากประเทศไทยมีข้อได้เปรียบด้านมาตรฐานคุณภาพของสถานพยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ที่สูง บนราคาค่ารักษาพยาบาลที่สมเหตุสมผลเมื่อเทียบกับคุณภาพการรักษา นอกจากนี้กลุ่มลูกค้าต่างชาติยังเป็นกลุ่มที่ธุรกิจโรงพยาบาลยังสามารถมีพื้นที่ในการส่งผ่านราคาได้มากกว่าผู้ป่วยในประเทศ จากส่วนต่างค่ารักษาพยาบาลในไทยกับค่ารักษาพยาบาล ณ ประเทศต้นทางที่มีส่วนต่างที่มากกว่าอย่างมีนัยสำคัญ แต่อย่างไรก็ตามการทำตลาดในรูปแบบนี้อาจจำกัดเฉพาะกลุ่มโรงพยาบาลเครือข่ายขนาดใหญ่เท่านั้น

2. สร้างอุปสงค์เพิ่มเติมผ่านการให้บริการในรูปแบบเฉพาะทางมากขึ้น เพื่อพยายามเพิ่มสัดส่วนอุปสงค์ที่คาดเดาได้ (Predictable Demand) โดยแนวทางการขยายรูปแบบการให้บริการในลักษณะเฉพาะทางสามารถแยกย่อยออกเป็น 2 รูปแบบหลัก ๆ ประกอบด้วย

  • การรักษาทางการแพทย์เฉพาะด้าน (Specialized Medical Treatments) เพื่อตอบสนองกับอุปสงค์ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นสอดคล้องกับโครงสร้างประชากรของไทยในปัจจุบันที่เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Aged Society) ที่มีความต้องการในอุปสงค์เฉพาะด้านสูง (เช่น โรคหัวใจ ฟอกไต กระดูกและข้อ) โดยตลาดบริการทางการแพทย์เฉพาะทางขยายตัวต่อเนื่อง 45% ในปี 2566 สร้างรายได้รวมกว่า 3.9 หมื่นล้านบาท และมีแนวโน้มที่ตลาดจะขยายตัวต่อเนื่องแตะ 4.7 หมื่นล้านบาท ในปี 2567 นอกจากนี้บริการเฉพาะทางในรูปแบบเสริมความงามมีแนวโน้มเติบโตดีเช่นกัน สอดคล้องกับปัจจัยเชิงพฤติกรรมศาสตร์ของคนในยุคปัจจุบันที่กระแส Beauty Privilege กำลังได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง สะท้อนผ่านตลาดเสริมความงามของไทยขยายตัวเฉลี่ย 14% ต่อปี (2562-2566) โดยเฉพาะตลาดกลุ่มผู้ชายที่ยังเป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มการขยายตัวในอัตราเร่ง (ขยายตัว 65% ในปี 2566)
  • เวชศาสตร์เชิงป้องกันและสุขภาพองค์รวม (Wellness & Preventive Care) เป็นรูปแบบการให้บริการที่สามารถสร้างอุปสงค์ได้เองผ่านการทำการตลาด เพื่อลดข้อจำกัดจากอุปสงค์ของกลุ่มผู้รับบริการที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ อีกทั้งยังเป็นรูปแบบการให้บริการที่มีความถี่สูงและสามารถสร้างรายได้ในรูปแบบรายได้ประจำ (Recurring Income) ให้เติบโตอย่างสม่ำเสมอได้ในระยะยาว รวมถึงยังสอดคล้องกับเทรนด์ในยุคปัจจุบันที่ผู้บริโภคเริ่มปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหันมาดูแลสุขภาพและป้องกันการเจ็บป่วยมากขึ้น จึงเป็นโอกาสที่บริการด้านเวชศาสตร์เชิงป้องกันและสุขภาพองค์รวมจะมีแนวโน้มได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น

3. เพิ่มพื้นที่การให้บริการไปยังตลาดภูมิภาคโดยเฉพาะจังหวัดที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง จากข้อจำกัดของกลุ่มธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนที่อุปสงค์ไม่สามารถคาดเดาได้ ดังนั้น พื้นที่ศักยภาพสำหรับขยายตลาดจำเป็นต้องมีการกระจุกตัวของประชากรที่มีรายได้เพียงพอที่จะเป็นอุปสงค์ในการเข้ารับบริการในโรงพยาบาลเอกชนสูงขึ้น ได้แก่ พื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล แต่อย่างไรก็ตาม การทำตลาดบนพื้นที่ดังกล่าวเริ่มเผชิญจุดอิ่มตัว สะท้อนผ่านรายได้ในปี 2566 ที่หดตัว 2.1% ในขณะที่ตลาดภูมิภาคยังขยายตัว 4.7% จากพื้นที่ภูมิภาคหลายพื้นที่ในปัจจุบันเริ่มมีการเติบโตของรายได้ประชากรที่เพิ่มขึ้นและอุปทานเดิมอาจยังไม่สามารถรองรับได้เพียงพอ จึงเป็นโอกาสในการขยายพื้นที่ให้บริการโดยเฉพาะจังหวัดท่องเที่ยวหรือจังหวัดในหัวเมืองใหญ่ของแต่ละภูมิภาค รวมถึงยังเป็นตลาดที่ยังสามารถรองรับชาวต่างชาติได้และสามารถรักษาการเติบโตได้ดีในปี 2566 ตัวอย่างเช่น ภูเก็ต (+23.3%), ระยอง (+10.2%), นครราชสีมา (+9.8%), เชียงใหม่ (+9.1%) เป็นต้น

กล่าวโดยสรุป สถานการณ์ของธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนในปัจจุบันเริ่มเผชิญกับข้อจำกัด ผ่านผลประกอบการที่เติบโตในอัตราที่ต่ำกว่าในอดีต โดยปี 2568 นี้จะเริ่มมีความท้าทายมากขึ้นบนแรงกดดันของอุปสงค์ในการเข้ารับบริการทางการแพทย์ที่เข้าสู่จุดอิ่มตัว การทำธุรกิจแบบเน้นการรักษาเช่นในอดีตอาจไม่เป็นปัจจัยเติบโต ดังนั้น การปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในรูปแบบเชิงรุกอาจช่วยเพิ่มโอกาสขยายฐานตลาดใหม่ ๆ เพื่อสร้างรายได้เพิ่มเติมจึงเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญเป็นลำดับแรก ๆ

ซึ่งแนวโน้มการขยายตลาดที่คาดว่ายังรักษาการเติบโตได้ดีประกอบด้วย 1) ตลาดผู้ป่วยชาวต่างชาติ 2) ตลาดบริการทางการแพทย์เฉพาะทาง และ 3) ตลาดภูมิภาคโดยเฉพาะกลุ่มเมืองใหญ่ แต่อย่างไรก็ตามพบประเด็นที่กำลังจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจ คือ การเริ่มใช้นโยบาย Copayment ซึ่งเป็นการเปลี่ยนเงื่อนไขการเคลมประกันสุขภาพไปเป็นรูปแบบผู้เอาประกันต้องมีส่วนร่วมจ่ายค่ารักษาพยาบาลในแต่ละครั้ง ซึ่งเริ่มขึ้นในเดือนมีนาคมปีนี้ และมีโอกาสที่จะเกิดผลกระทบเชิงลบต่อธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนในระยะยาว โดยเฉพาะกลุ่มโรงพยาบาลเอกชนที่มีสัดส่วนรายได้จากประกันและผู้ป่วยในสูง อีกทั้งจากการสำรวจพบว่าโรงพยาบาลเอกชนส่วนใหญ่มีรายได้จากกลุ่มผู้ป่วยในเฉลี่ย 50-55% ก็เป็นกลุ่มที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบโดยตรงจากประกันในรูปแบบ Copayment ทำให้โรงพยาบาลเอกชนอาจต้องเร่งปรับกลยุทธ์เพื่อรักษาโมเมนตัมการเติบโตในอนาคตต่อไป

Latest articles

เผยเทรนด์ฮิตปลายปี 68 กลุ่ม Gen Y – Gen Z ชอบรวมกลุ่มเข้าป่า ส่งสินค้ากลางแจ้งยอดพุ่ง

เผยเทรนด์ฮิตปลายปี 68 กลุ่ม Gen Y – Gen Z  กิจกรรมกลางแจ้ง รวมกลุ่มเข้าป่า ตั้งแคมป์ ให้ธรรมชาติฮีลใจ”ดีแคทลอน ตอบรับกระแสปลายปี เปิดสาขาใหม่ บางกะปิ ด้วยกลยุทธ์ “Bring Sport Closer to People”

ซีเล็ค x เด็กสมบูรณ์ เปิดตัว “ปลาทูน่านึ่งซีอิ๊ว” ชู SMART PROTEIN สะดวกดีต่อสุขภาพ

ซีเล็ค x เด็กสมบูรณ์ เปิดตัว “ปลาทูน่านึ่งซีอิ๊ว” ชู SMART PROTEIN สะดวกดีต่อสุขภาพ คู่ความอร่อยคูณสองแบบต้นตำรับ 

SABINA จัดแคมเปญโปรโมชั่น 11.11 ดีลแรง กระตุ้นยอดขายไตรมาสสุดท้าย

“ซาบีน่า” จัดแคมเปญโปรโมชั่นเอาใจเหล่านักช้อป “11.11 สิ้นสุดการรอคอยน์ ซาบีน่าลดให้เลย 1,111 บาท” เมื่อช้อปสินค้าครบ 2,500 บาท

 เปิดตัว Canon EOS R6 Mark III ความละเอียด 32.5 ล้านพิกเซล รองรับวิดีโอแบบ Open Gate

EOS R6 Mark III เปิดมาตรฐานใหม่แห่งการสร้างสรรค์ ด้วยความละเอียดภาพ 32.5 ล้านพิกเซล บันทึกวิดีโอไฟล์ RAW 7K 60p และรองรับการถ่ายวิดีโอแบบ Open Gate

More like this