“โครงการติดตั้งเครื่องดักขยะในคลองลาดพร้าว” ก้าวเข้าสู่ปีที่ 2

Published on

มูลนิธิโคคา-โคล่า จับมือ มูลนิธิเทอร์ราไซเคิล ไทย เดินหน้าภารกิจป้องกันขยะรั่วไหลจากแม่น้ำสู่มหาสมุทร พร้อมส่งเสริมการเปลี่ยนพฤติกรรมคนในชุมชน ใน “โครงการติดตั้งเครื่องดักขยะในคลองลาดพร้าว” ปีที่ 2

ปัญหาขยะพลาสติกเป็นปัญหาร้ายแรงที่ส่งผลกระทบต่อแม่น้ำลำคลองและท้องทะเลทั่วโลกมาเป็นเวลาหลายปี โดยประเทศไทยถูกจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในประเทศที่สร้างมลพิษทางทะเลมากที่สุดของโลก ทั้งนี้ ตามข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษ ในปี 2563 ประเทศไทยมีขยะที่ไม่ได้รับการจัดการอย่างถูกต้องมากถึง 4.23 ล้านตัน เนื่องด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ทำให้ผู้คนต้องเปลี่ยนไป การทำงานจากที่บ้าน ขยะพลาสติกที่ใช้ครั้งเดียวทิ้งจึงเพิ่มมากขึ้นตามความต้องการใช้บริการรับส่งอาหารออนไลน์ และอีคอมเมิร์ซ โดยเฉพาะในจังหวัดหัวเมืองใหญ่ๆ ซึ่งร้อยละ 80 ของขยะจำนวนนั้นก็รั่วไหลลงสู่สิ่งแวดล้อมทางน้ำของประเทศ

ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา มีความร่วมมือจากหลายหน่วยงาน หลายภาคส่วน พยายามที่จะช่วยกันเก็บกวาดขยะจากคลองจำนวนมาก โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ โดยคำนึงถึงประโยชน์ในแง่ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สุขภาพ การเดินทางขนส่ง การท่องเที่ยว และอื่นๆ ซึ่งโครงการติดตั้งเครื่องดักขยะในคลองลาดพร้าวก็เป็นหนึ่งในโครงการที่เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จ ไม่ใช่แค่ช่วยลดปริมาณขยะพลาสติกที่สร้างมลพิษต่อระบบนิเวศน์ทางน้ำของไทย แต่ยังช่วยผลักดันให้ผู้คนในชุมชนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการบริหารจัดการขยะได้เหมาะสมยิ่งขึ้นด้วย

โครงการติดตั้งเครื่องดักขยะในคลองลาดพร้าว เป็นหนึ่งในโครงการทำความสะอาดแม่น้ำ 9 แห่งทั่วโลก ภายใต้การเป็นพันธมิตรร่วมกันระหว่างโครงการ Benioff Ocean Initiative ของสถาบันวิทยาศาสตร์ทางทะเล มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานตาบาร์บารา และมูลนิธิโคคา-โคล่า องค์กรสาธารณกุศลภายใต้ เดอะ โคคา-โคล่า คัมปะนี ในการสนับสนุนการดำเนินการผ่านความร่วมมือของมูลนิธิเทอร์ราไซเคิล ไทย และสำนักการระบายน้ำ กรุงเทพมหานคร ที่มีเป้าหมายร่วมกันเพื่อป้องกันการรั่วไหลของขยะจากแม่น้ำสู่มหาสมุทร โดยคลองลาดพร้าวได้รับเลือก เนื่องจากเป็นคลองที่ประสบปัญหามลพิษขยะเป็นจำนวนมากและจำเป็นต้องมีการทำความสะอาดเพิ่มเติมอย่างเร่งด่วน จากเดิมที่หน่วยงานในพื้นที่และองค์กรที่เกี่ยวข้อง ต่างก็ทำงานอย่างหนักในการช่วยทำความสะอาดคลองดังกล่าวอยู่แล้ว

โครงการภายใต้การทำงานของมูลนิธิเทอร์ราไซเคิล ไทยนี้ เริ่มต้นขึ้นในเดือนมิถุนายน 2563 โดยมีเป้าหมายในการเก็บขยะออกจากคลองลาดพร้าว ซึ่งมีระยะทางยาวรวม 12.56 กิโลเมตร ตั้งอยู่ใจกลางกรุงเทพมหานคร เชื่อมต่อระหว่างคลองแสนแสบและคลองสอง และไหลลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยา โดยการติดตั้ง ‘เครื่องดักขยะ’ จำนวน 2 เครื่องเพื่อดักจับขยะในคลองลาดพร้าว ร่วมกับการปฏิบัติงานของทีมงานเก็บขยะซึ่งเป็นคนในท้องที่ 5 วันต่อสัปดาห์ โดยนับตั้งแต่เดือนมิถุนายน พ.ศ.2563 จนถึงมิถุนายน พ.ศ.2564 สามารถเก็บขยะจากเครื่องดักขยะทั้ง 2 เครื่องนี้ได้มากกว่า 145 ตัน และอีกกว่า 63 ตันจากการเก็บขยะตามลำคลอง เห็นได้ว่าภายในระยะเวลาเพียง 1 ปี โครงการนี้ช่วยป้องกันไม่ให้ขยะพลาสติกจากคลองลาดพร้าวไหลลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยาได้เป็นจำนวนมาก

การดำเนินงานในโครงการนี้ไม่ใช่แค่การจัดเก็บขยะเท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการขยะในคลองที่เก็บขึ้นมาได้ด้วย โดยขยะเหล่านั้นจะผ่านการตากแห้งและคัดแยก เพื่อนำไปรีไซเคิลต่อไป ทั้งนี้ จากข้อมูลที่มีบันทึกไว้ตลอดการทำงาน 1 ปีระบุว่า ขยะที่เก็บได้จากคลองนั้นมากกว่าร้อยละ 83 เป็นขยะที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้ ในจำนวนนั้นเป็นขยะอินทรีย์ร้อยละ 46.8 และขยะพลาสติกที่ไม่สามารถนำกลับมารีไซเคิลได้ เช่น ถุงพลาสติก ภาชนะโฟม ถึงร้อยละ 36.6 โดยขยะที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้เหล่านี้จะถูกส่งเข้าสู่กระบวนการเปลี่ยนขยะเป็นพลังงานไฟฟ้า ณ โรงกำจัดขยะผลิตไฟฟ้าเพื่อสิ่งแวดล้อม ในเขตกรุงเทพฯ ซึ่งการผลิตไฟฟ้านี้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมตลอดกระบวนการ ด้วยค่าคุณภาพอากาศจากโรงงานอุตสาหกรรม เสียงรบกวน และคุณภาพน้ำ อยู่ในมาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด ขณะที่ยังมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อนำสิ่งที่เหลือจากกระบวนการผลิตไฟฟ้า รวมถึงขี้เถ้า มาใช้ประโยชน์ได้ต่อไป

ในส่วนของขยะที่สามารถนำไปรีไซเคิลได้ ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 16.4 ของขยะทั้งหมดที่เก็บขึ้นจากคลองลาดพร้าว (พลาสติกร้อยละ 8.4 แก้วร้อยละ 7.1 และโลหะร้อยละ 0.9) จะถูกแปรสภาพให้ใช้ประโยชน์ได้อีกครั้ง โดยทางมูลนิธิเทอร์ราไซเคิล ไทย ได้ทำงานร่วมกับบริษัทบริหารจัดการขยะในพื้นที่ เพื่อจัดส่งวัสดุรีไซเคิลเหล่านี้ไปยังผู้ผลิต ที่สามารถเปลี่ยนขยะพลาสติกให้กลายเป็นสิ่งของที่สร้างสรรค์และมีประโยชน์ได้ เช่น สนามเด็กเล่นในชุมชน บรรจุภัณฑ์สำหรับสินค้าอุปโภคบริโภค หรือแม้แต่สินค้าใหม่ เช่น จานร่อน และกำไลลูกปัด ที่มีวางจำหน่ายแล้วในสหรัฐฯ โดยรายได้จากการจำหน่ายจานร่อน และกำไลลูกปัดทั้งหมดนี้ยังกลับมาเป็นเงินสนับสนุนการปฏิบัติงานในโครงการคลองลาดพร้าวต่อไป ซึ่งสินค้าที่ขายได้แต่ละชิ้นนั้นจะเป็นเงินทุนในการเก็บและรีไซเคิลขยะจำนวน 20 ปอนด์ (9 กิโลกรัม)

ยิ่งไปกว่านั้น โครงการติดตั้งเครื่องดักขยะในคลองลาดพร้าวยังให้ความสำคัญกับการสร้างความตระหนักรู้แก่ชุมชนและส่งเสริมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการจัดการขยะอย่างเหมาะสม เพื่อเป็นแนวทางป้องกันปัญหาขยะรั่วไหลลงสู่แหล่งน้ำอย่างยั่งยืนในอนาคตต่อไป ซึ่งโครงการนี้ได้สร้างผลกระทบต่อสังคมไปในทางที่ดีขึ้นหลายด้าน โดยไม่ใช่เพียงแค่ชาวชุมชนคลองลาดพร้าวกว่า 7,000 ครัวเรือนจะได้เห็นคลองที่สะอาดและสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้นเท่านั้น แต่โครงการนี้ยังให้อาชีพที่สุจริตและมั่นคงแก่ชาวชุมชนจำนวน 15 คนที่มาร่วมทีมปฏิบัติงานด้วย รวมถึงสนับสนุนการเรียนรูเกี่ยวกับการบริหารจัดการขยะอย่างเหมาะสมในระดับครัวเรือนแก่บุคคลทั่วไป ที่มาร่วมเวิร์กช็อป ณ ศูนย์ปฏิบัติงานของโครงการ ซึ่งช่วยให้พวกเขาตระหนักถึงวิกฤตขยะทางทะเลที่เป็นปัญหาใหญ่ในระดับโลก และมีส่วนร่วมในการช่วยแก้ปัญหา

ซาเดีย แมดส์เบิร์ก ประธานกรรมการ มูลนิธิโคคา-โคล่า กล่าวว่า “มูลนิธิโคคา-โคล่า เชื่อว่าเมื่อพันธมิตรทั้งภาคธุรกิจ ภาครัฐ และภาคประชาสังคมมองเห็นคุณค่าร่วมกัน หันมาจับมือและทำงานภายใต้เป้าหมายสำคัญเดียวกัน ย่อมสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ได้ เช่นเดียวกับที่โครงการนี้กำลังดำเนินอยู่”

“โครงการติดตั้งเครื่องดักขยะในคลองลาดพร้าวถือว่ามีพัฒนาการและความคืบหน้าไปอย่างมาก แม้จะดำเนินการมาเพียง 1 ปี แต่ก็สามารถพัฒนาระบบการจัดการขยะที่ดีขึ้นให้กับชุมชนและคนในท้องที่ ซึ่งส่งผลให้คลองลาดพร้าวเป็นคลองที่สะอาดมากยิ่งขึ้น เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่รู้ว่าคนในชุมชนรับรู้ถึงความสำคัญของการจัดการขยะอย่างเหมาะสม และเริ่มมีส่วนร่วมกับโครงการในการปกป้องดูแลชุมชนและสิ่งแวดล้อมของพวกเขามากขึ้นด้วย” นายนันทิวัต ธรรมหทัย เลขานุการมูลนิธิโคคา-โคล่า ประเทศไทย กล่าวเสริม

“ความสำเร็จของโครงการนี้ไม่ได้มาจากปริมาณขยะจำนวนมากที่เราเก็บได้จากคลอง แต่คือการที่ผู้คนในชุมชนมีส่วนร่วมมากขึ้นในการช่วยกันแก้ไขปัญหาขยะในแม่น้ำลำคลองอย่างยั่งยืนเพื่อชุมชนที่ดีขึ้น รวมถึงการที่ชุมชนเข้าใจบทบาทและหน้าที่ของเรามากขึ้น ขณะที่พนักงานของเราซึ่งก็เป็นคนในชุมชน ได้ให้ความสำคัญกับสภาพแวดล้อมที่ดี และมองว่าโครงการนี้จะช่วยให้พวกเขาบรรลุเป้าหมายในการสร้างชุมชนที่น่าอยู่ได้” เจมส์ สกอทท์ ผู้อำนวยการบริหาร มูลนิธิเทอร์ราไซเคิล ไทย กล่าว “ด้วยการสนับสนุนจากมูลนิธิโคคา-โคล่า และความร่วมมือจากพันธมิตร มูลนิธิฯ ตั้งเป้าที่จะยกระดับการปฏิบัติงานของเครื่องดักจับขยะ ไปพร้อมกับขยายการมีส่วนร่วมของคนในชุมชน เพื่อเดินหน้าผลักดันการเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้คนในประเทศไทย ให้ตระหนักถึงความสำคัญของการรีไซเคิลมากขึ้น และร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ไขปัญหาขยะพลาสติกทางทะเลอย่างยั่งยืน ทั้งในระดับชุมชน และระดับโลก”

เจมส์ สกอทท์

ด้วยเงินสนับสนุนเพื่อดูแลรักษาแม่น้ำลำคลอง 9 แห่งทั่วโลกเป็นระยะเวลา 3 ปี รวม 11 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 345 ล้านบาท โดยโครงการติดตั้งเครื่องดักขยะในคลองลาดพร้าวเป็นส่วนหนึ่งที่ได้เงินสนับสนุนมานั้น จะสามารถดำเนินการเพื่อช่วยป้องกันการรั่วไหลของขยะจากแม่น้ำสู่มหาสมุทร และส่งเสริมการเปลี่ยนพฤติกรรมของคนในชุมชนต่อเนื่องไปอีก 2 ปี โดยในปี 2565 มูลนิธิเทอร์ราไซเคิล ไทย จะเปิดตัวเว็บไซต์ใหม่ www.terracyclefoundation.org ที่จะจำหน่ายสินค้าซึ่งผลิตจากขยะพลาสติกรีไซเคิลเพื่อผู้สนใจในประเทศไทยด้วย ความสำเร็จจากโครงการนี้เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นในการแก้ไขปัญหาขยะในคลองในกรุงเทพมหานครเท่านั้น แต่การจัดการกับปัญหาขยะในระดับโลกยังเป็นความท้าทายอันยิ่งใหญ่ที่ต้องการความร่วมมือและความพยายามอีกมากเพื่อจะนำไปสู่การแก้ปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาว

Latest articles

ซีเล็ค x เด็กสมบูรณ์ เปิดตัว “ปลาทูน่านึ่งซีอิ๊ว” ชู SMART PROTEIN สะดวกดีต่อสุขภาพ

ซีเล็ค x เด็กสมบูรณ์ เปิดตัว “ปลาทูน่านึ่งซีอิ๊ว” ชู SMART PROTEIN สะดวกดีต่อสุขภาพ คู่ความอร่อยคูณสองแบบต้นตำรับ 

SABINA จัดแคมเปญโปรโมชั่น 11.11 ดีลแรง กระตุ้นยอดขายไตรมาสสุดท้าย

“ซาบีน่า” จัดแคมเปญโปรโมชั่นเอาใจเหล่านักช้อป “11.11 สิ้นสุดการรอคอยน์ ซาบีน่าลดให้เลย 1,111 บาท” เมื่อช้อปสินค้าครบ 2,500 บาท

 เปิดตัว Canon EOS R6 Mark III ความละเอียด 32.5 ล้านพิกเซล รองรับวิดีโอแบบ Open Gate

EOS R6 Mark III เปิดมาตรฐานใหม่แห่งการสร้างสรรค์ ด้วยความละเอียดภาพ 32.5 ล้านพิกเซล บันทึกวิดีโอไฟล์ RAW 7K 60p และรองรับการถ่ายวิดีโอแบบ Open Gate

คนไทยดื่มกาแฟเฉลี่ย 340 แก้ว/ปี เผยเทรนด์กาแฟพร้อมดื่ม Café Hopping กำลังมา

คนไทยดื่มกาแฟเฉลี่ย 340 แก้ว/คนปี เผยเทรนด์ก Café Hopping กำลังมา นี่คือโจทย์ใหม่ของกาแฟพร้อมดื่ม จากเครื่องดื่มสู่บทใหม่ของวัฒนธรรมการใช้ชีวิต

More like this