เจาะลึกการปรับตัวธุรกิจไทยท่ามกลางวิกฤตโควิด-19

Published on

การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจค่อนข้างมาก ซึ่งแต่ละธุรกิจมีการปรับตัวที่แตกต่างกันออกไปตามลักษณะของธุรกิจที่สามารถดำเนินการได้ สะท้อนตามลักษณะการฟื้นตัวของรายได้ ดังนั้น การศึกษาปัจจัยของการฟื้นตัวของแต่ละธุรกิจและแนวโน้มในระยะปานกลางจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากจะช่วยให้ผู้ประกอบการ แรงงาน และภาครัฐ ได้รับทราบสถานการณ์ปัจจุบันและเตรียมรับมือกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้

การฟื้นตัวของแต่ธุรกิจในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ขึ้นอยู่กับการปรับตัวให้เข้ากับสภาพตลาด

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics ศึกษาการปรับตัวของแต่ละธุรกิจ โดยเริ่มตั้งแต่การล็อกดาวน์ครั้งแรกในไตรมาส 2 ของปี 2563 มาจนถึงไตรมาส 2 ของปี 2564 ด้วยการคำนวณเป็นดัชนีรายได้ของแต่ละธุรกิจ โดยใช้ข้อมูลรายได้ของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจำนวนกว่า 500 บริษัทเทียบกับรายได้ปี 2562 ซึ่งเป็นปีก่อนเกิดการระบาดโรคโควิด-19 เป็นปีฐานเริ่มต้นเท่ากับ 100 และทำการประเมินว่าในช่วงการระบาดที่ผ่านมา ธุรกิจมีความสามารถในการปรับตัวอย่างไร ผลการศึกษาแบ่งระดับการฟื้นตัวของธุรกิจในช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 ดังนี้

  • ธุรกิจฟื้นแล้ว (ดัชนีรายได้ > 100) โดยธุรกิจได้ฟื้นตัว เนื่องจากได้รับอานิสงส์จากตลาดส่งออกและตลาดในประเทศดีขึ้น ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ยางพารา พลังงาน เหล็กและโลหะ อิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วน เคมีภัณฑ์ วัสดุก่อสร้าง ชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน อาหารและเครื่องดื่ม
  • ธุรกิจกำลังฟื้น (ดัชนีรายได้อยู่ระหว่าง 60 ถึง 100) โดยธุรกิจกำลังฟื้นตามกำลังซื้อในประเทศที่เริ่มกลับมา ได้แก่ ค้าปลีก รับเหมาก่อสร้าง เกษตรแปรรูป ไอทีและเทเลคอม ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ การแพทย์ เครื่องจักรและชิ้นส่วน สินค้าอุปโภคและบริโภค เฟอร์นิเจอร์
  • ธุรกิจยังไม่ฟื้น (ดัชนีรายได้ < 60) เป็นกลุ่มที่ยังไม่ฟื้นและได้รับผลกระทบหนักจากการระบาดของโรคโควิด-19 ส่วนใหญ่เป็นภาคบริการ ได้แก่ อสังหาริมทรัพย์ให้เช่า ขนส่งและโลจิสติกส์ (ขนส่งทางน้ำ และทางอากาศ) ท่องเที่ยว (โรงแรมและร้านอาหาร) และการบริการส่วนบุคคล

การฟื้นตัวของธุรกิจดังกล่าว ชี้ให้เห็นถึงความสามารถในการปรับตัวของแต่ละธุรกิจ ในช่วงที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งผลของการล็อกดาวน์บางส่วนตามมาตรการของภาครัฐในช่วงไตรมาส 3 ของปี 2564 ที่กำลังดำเนินอยู่นี้ ทำให้รายได้ของผู้ประกอบการในแต่ละธุรกิจลดลง อย่างไรก็ดี ด้วยการเร่งฉีดวัคซีนของภาครัฐที่ช่วยให้สถานการณ์มีแนวโน้มดีขึ้น และภาครัฐจะเริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ ซึ่งจะทำให้แต่ละธุรกิจทยอยฟื้นตัวนับตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายของปี 2564 เป็นต้นไป โดยประเมินว่า รูปแบบการฟื้นตัวจะเป็นไปในลักษณะการทยอยฟื้นตัว และไม่แตกต่างไปจากเดิมมากนัก

ธุรกิจที่มีความเปราะบางมากที่สุด คือ “กลุ่มธุรกิจที่ยังไม่ฟื้น” ซึ่งรายได้เมื่อเทียบกับปี 2562 (ก่อนเกิดการระบาดโรคโควิด-19) พบว่ามีการหดตัวมากกว่า 30% ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาติดต่อกัน โดยเฉพาะกลุ่มท่องเที่ยว ได้แก่ โรงแรม และร้านอาหาร รายได้ลดลง 66% และ 49%  กลุ่มขนส่งและโลจิสติกส์ ได้แก่ ขนส่งทางอากาศและทางน้ำ รายได้ลดลง  84% และ 51%  และกลุ่มบริการส่วนบุคคล ได้แก่ บันเทิงและการกีฬา รายได้ลดลงมากถึง 84% สำหรับ “กลุ่มธุรกิจกำลังฟื้น” ก็น่าเป็นห่วงเช่นกัน เนื่องจากรายได้ใน 2 ปีที่ผ่านมาลดลง 10-30% ซึ่งในช่วงที่เหลือของปีนี้ ผู้ประกอบการจำเป็นต้องปรับตัวอีกครั้ง เพื่อรอคอยช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2564 นี้ที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจจะค่อย ๆ กลับพลิกฟื้นอีกครั้ง

ดังนั้น สิ่งที่สามารถประคับประคองธุรกิจให้ผู้ประกอบการที่อยู่ในกลุ่มธุรกิจยังไม่ฟื้นและกำลังฟื้น ให้อยู่รอดในช่วงครึ่งปีหลังนี้ ได้แก่ การทำตลาดในช่องทางออนไลน์มากขึ้น การบริหารจัดการธุรกิจโดยคำนึงถึงความสะดวกของการซื้อสินค้าของผู้บริโภค และสินค้าต้องมีคุณภาพ สะอาด และปลอดภัย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า และหากเป็นโรงงานและธุรกิจบริการควรพิจารณาทำ Bubble & Seal  นอกจากนี้ ควรพิจารณาเข้ารับความช่วยเหลือตามมาตรการต่าง ๆ ของภาครัฐ อาทิ การพักชำระหนี้ สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ การขอปรับโครงสร้างหนี้กับธนาคาร ฯลฯ เพื่อให้ธุรกิจสามารถเดินต่อไปได้

การฟื้นตัวในระยะปานกลาง จะเป็นรูปแบบ K-Shape ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งเชิงโครงสร้างของธุรกิจ

หากมองออกไปใน 1-2  ปีข้างหน้า (2565-2566) แม้ว่าการระบาดของโรคโควิด-19 มีแนวโน้มบรรเทาลง จากการเร่งฉีดวัคซีนที่ครอบคลุมประชากรของโลกและในประเทศไทยมากขึ้น แต่ทว่าโรคโควิด-19 ก็ยังไม่หมดไปและอาจมีการกลายพันธุ์เพิ่มเติม ทำให้การแพร่ระบาดดังกล่าวจะยังคงอยู่กับโลกต่อไปหลังจากนี้อย่างน้อย 1 ปี จนกว่าจะมีวัคซีนที่สามารถจัดการไวรัสได้อย่างเบ็ดเสร็จ ทำให้ต้องพึ่งการฉีดวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกันให้กับประชากรในทุกปี ดังนั้น สิ่งที่ภาคธุรกิจต้องเผชิญความท้าทายจะมี 3 ด้าน ต่อไปนี้

ด้านที่ 1 ธุรกิจยังต้องเผชิญกับการระบาดของโรคโควิด-19 ต่อไป ดังนั้น ผู้ประกอบการจะต้องปรับตัวเพื่ออยู่ด้วยกันด้วยความระมัดระวัง โดยการดำเนินธุรกิจให้ปลอดภัยจากการติดเชื้อในพนักงานและลูกค้าที่มาซื้อสินค้าหรือใช้บริการ

ด้านที่ 2 ธุรกิจต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง ได้แก่ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ EEC และเขตเศรษฐกิจพิเศษ (SEZ) เทรนด์รักษ์สิ่งแวดล้อม การเป็นสังคมผู้สูงอายุของไทย สิ่งเหล่านี้จะส่งผลทำให้ความเจริญกระจายไปหัวเมืองในเศรษฐกิจภูมิภาค การผลิตสินค้าที่คำนึงถึงเรื่องสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ตลาดสินค้าสำหรับผู้สูงอายุจะมีขนาดใหญ่ขึ้นและสินค้าเพื่อการส่งออกจะมีมูลค่ามากขึ้น เพราะได้รับแรงหนุนจากนโยบายส่งเสริมลงทุนภาครัฐ

ด้านที่ 3 ธุรกิจต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค อาทิ การเข้าถึงผู้บริโภคจากหลายช่องทางทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ซึ่งธุรกิจต้องผสมผสานอย่างสมดุล หรือที่เรียกว่า Omni-Channel และจะต้องปรับใช้เทคโนโลยี Digital Ecosystem ที่อยู่รอบตัว อาทิ E-Commerce, E-Payment , E- Transportation, Inventory Management ฯลฯ  มาใช้ในธุรกิจเพื่อลดต้นทุนและเพิ่มความสะดวกให้กับผู้บริโภค นอกจากนี้ ความนิยมในสินค้าของผู้บริโภคมีหลากหลายกลุ่มมากขึ้นเพราะสามารถสืบค้นข้อมูลและเปรียบเทียบสินค้าจากสื่อออนไลน์ได้

ด้วย 3 ปัจจัยท้าทายที่ภาคธุรกิจจะต้องเผชิญ ttb analytics ประเมินว่า จะส่งผลทำให้การฟื้นตัวของแต่ธุรกิจในระยะปานกลางแตกต่างกัน กล่าวคือ มีธุรกิจที่ฟื้นและเติบโตดี และธุรกิจที่ไม่ฟื้นและตกต่ำต่อเนื่องจนกว่าโรคโควิด-19 จะหมดไป หรืออยู่ในรูปแบบการฟื้นตัวแบบ K-Shape ดังนี้

  • K-Shape (ขาขึ้น) ได้แก่ ธุรกิจประเภทไอทีและเทเลคอม บริการซอฟแวร์ อิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วน ยานยนต์และชิ้นส่วน ร้านค้าปลีกที่มีทั้งช่องทางตลาดออนไลน์และออฟไลน์ การบริการขนส่งสินค้าและการจัดการคลังสินค้า ธุรกิจการแพทย์ และอาหารสำเร็จรูป
  • K-Shape (ขาลง) ได้แก่ ธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรม ร้านอาหาร สปา ธุรกิจบันเทิงและสันทนาการ การขนส่งผู้โดยสาร ออฟฟิศให้เช่า ที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียม

ด้วยรูปแบบการฟื้นตัวแบบ K-Shape  พบว่าธุรกิจ K-Shape ขาขึ้นจะมีปัจจัยการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของประเทศและพฤติกรรมผู้บริโภคสนับสนุนให้ธุรกิจเหล่านี้ฟื้นและเติบโตได้ดีต่อเนื่อง ในขณะที่ธุรกิจใน K-Shape ขาลง ส่วนใหญ่จะอยู่ในธุรกิจบริการซึ่งยังคงได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 จำเป็นต้องช่วยกันประคับประคอง ทั้งในส่วนของผู้ประกอบการและลูกจ้างให้อยู่รอดใน 1-2 ปีข้างหน้า และจำเป็นต้องได้แรงสนับสนุนช่วยเหลือจากภาครัฐช่วยธุรกิจให้ลุกขึ้น เพื่อจะฟื้นตัวหลังการระบาดบรรเทาต่อไป

Latest articles

เผยเทรนด์ฮิตปลายปี 68 กลุ่ม Gen Y – Gen Z ชอบรวมกลุ่มเข้าป่า ส่งสินค้ากลางแจ้งยอดพุ่ง

เผยเทรนด์ฮิตปลายปี 68 กลุ่ม Gen Y – Gen Z  กิจกรรมกลางแจ้ง รวมกลุ่มเข้าป่า ตั้งแคมป์ ให้ธรรมชาติฮีลใจ”ดีแคทลอน ตอบรับกระแสปลายปี เปิดสาขาใหม่ บางกะปิ ด้วยกลยุทธ์ “Bring Sport Closer to People”

ซีเล็ค x เด็กสมบูรณ์ เปิดตัว “ปลาทูน่านึ่งซีอิ๊ว” ชู SMART PROTEIN สะดวกดีต่อสุขภาพ

ซีเล็ค x เด็กสมบูรณ์ เปิดตัว “ปลาทูน่านึ่งซีอิ๊ว” ชู SMART PROTEIN สะดวกดีต่อสุขภาพ คู่ความอร่อยคูณสองแบบต้นตำรับ 

SABINA จัดแคมเปญโปรโมชั่น 11.11 ดีลแรง กระตุ้นยอดขายไตรมาสสุดท้าย

“ซาบีน่า” จัดแคมเปญโปรโมชั่นเอาใจเหล่านักช้อป “11.11 สิ้นสุดการรอคอยน์ ซาบีน่าลดให้เลย 1,111 บาท” เมื่อช้อปสินค้าครบ 2,500 บาท

 เปิดตัว Canon EOS R6 Mark III ความละเอียด 32.5 ล้านพิกเซล รองรับวิดีโอแบบ Open Gate

EOS R6 Mark III เปิดมาตรฐานใหม่แห่งการสร้างสรรค์ ด้วยความละเอียดภาพ 32.5 ล้านพิกเซล บันทึกวิดีโอไฟล์ RAW 7K 60p และรองรับการถ่ายวิดีโอแบบ Open Gate

More like this