สสส.หนุนขับเคลื่อนสร้างสมดุลใหม่หน้าจอ-โลกจริงของครอบครัวยุคดิจิทัล

Published on

สสส.หนุนขับเคลื่อนสร้างสมดุลใหม่หน้าจอ-โลกจริงของครอบครัวยุคดิจิทัล แนะพ่อแม่ปรับบทบาทเป็น “นักจัดการสื่อ”ไม่ใช่ควบคุม กำกับ แต่ส่งเสริมปฏิสัมพันธ์การใช้สื่อ-กำหนดกติการ่วมสร้างวินัย ย้ำอย่าอคติมอง “หน้าจอ” เป็นยาพิษ หรือมองข้อดีจนขาดการใช้อย่างระมัดระวัง

การเสวนาสาธารณะ “The Art Screen Time –หน้าจอ-โลกจริง : สมดุลใหม่ของครอบครัวยุคดิจิทัล” ภายใต้โครงการขับเคลื่อนความรู้ด้านการสร้างเสริมสุขภาวะเด็กและครอบครัว และการพัฒนาศักยภาพเยาวชน สสส. ร่วมกับ สำนักพิมพ์ bookscape โดย ดร.วิลาสินี พิพิธกุล ผู้อำนวยการองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย(ส.ส.ท.) กล่าวว่า ข้อมูลของประเทศอังกฤษได้สำรวจสถานะการใช้สื่อของเด็กอังกฤษ เปรียบเทียบปี 2015 กับ 2019 พบว่า อัตราการดูรายการโทรทัศน์ของเด็กไม่ได้น้อยลงในเรื่องของการดูเนื้อหา แต่ไม่ได้ดูผ่านหน้าจอโทรทัศน์เท่านั้น เป็นดูผ่านอุปกรณ์อื่น อย่างแท็บเล็ต สมาร์ทโฟน และเมื่อเข้าสู่วัยรุ่นจะดูผ่านสมาร์ทโฟนมากขึ้น หากเปรียบเทียบกับเด็กไทยพบว่า ไม่แตกต่าง ยังมีการดูเนื้อหาที่นำเสนอ แต่ไม่ดูผ่านหน้าจอโทรทัศน์ เพราะไม่อยากต้องนั่งดูตามผังเวลา อยากเป็นคนเลือกการดูด้วยตนเอง จึงมีประเด็นที่น่าสนใจคือ เด็กมีอำนาจในการเป็นผู้เลือกดูสื่อตามความสนใจและความสะดวก

“พ่อแม่ไม่ควรที่จะปฏิเสธการใช้สื่อของเด็กอย่างสิ้นเชิง รวมถึงไม่ควรปล่อยตามใจ แต่พ่อแม่จะต้องทำหน้าที่เป็นนักจัดการสื่อ ไม่ใช่คนควบคุม กำกับ หรือบังคับให้ลูกเล่นหรือไม่ให้เล่น การคัดเลือกเนื้อหาไม่สำคัญเท่ากับการรู้จักสร้างปฏิสัมพันธ์ในการใช้สื่อ เพราะจะทำให้เกิดความรู้สึกเข้าอกเข้าใจ ทำให้เด็กไม่ลุกขึ้นมาใช้ความรุนแรง ดังนั้น การสร้างสมดุลในการใช้จะเป็นสิ่งสำคัญมากกว่าการห้ามเด็ดขาด หรือการปล่อยอิสระ ขณะเดียวกันหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรมีกลไกหนุนเสริมการเป็นนักจัดการสื่อที่ดีให้กับพ่อแม่และครู”รศ.ดร.วิสาลินี กล่าว

ผศ.พญ.จิราภรณ์ อรุณากูร กุมารแพทย์เวชศาสตร์วัยรุ่น โรงพยาบาลรามาธิบดี และเจ้าของเพจ เลี้ยงลูกนอกบ้าน กล่าวว่าต้องยอมรับว่าสื่อมีผลกระทบทั้งเชิงบวกและลบ มีงานวิจัยจำนวนมากที่พูดถึงผลกระทบจากหน้าจอ เช่น ปัญหาวิตกกังวล ซึมเศร้า ภาวะอ้วน กรณีเด็กจะเป็นเรื่องพัฒนาการทางภาษา แต่สาเหตุของปัญหาแท้จริงแล้ว ไม่ใช่จากสื่ออย่างเดียว แต่เกิดจากหลายปัจจัย ทั้งเนื้อหาข้อมูลที่ได้รับจากสื่อ ความสัมพันธ์ในครอบครัว ซึ่งทั้งเด็กและผู้ใหญ่มีโอกาสที่จะได้รับผลกระทบจากการติดจอเกิดขึ้นได้ เพียงแต่เด็กจะมีโอกาสความเสี่ยงมากกว่า หากไม่มีการเข้าไปแก้ปัญหาจะกลายเป็นผู้ใหญ่ที่ติดจอและเลิกยากมากกว่า

ผศ.พญ.จิราภรณ์ กล่าวว่าปัจจุบันสมาคมกุมารแพทย์ ของประเทศสหรัฐอเมริกา มีคำแนะนำปรับลดอายุของเด็กที่ไม่ควรให้ใช้สื่อหน้าจอจาก 2 ขวบเป็น 1 ขวบครึ่ง และอายุ 1ปีขวบครึ่งถึง 2 ขวบให้ใช้ได้ไม่เกิน 30 นาทีต่อวัน 2 ขวบ- 4 ขวบไม่เกินวันละ 1 ชั่งโมง มากกว่า 4 ขวบ ไม่เกินวันละ 2 ชั่วโมง โดยอาจจะพิจารณาตามความเหมาะสมของแต่ละครอบครัว ทั้งนี้ ควรมีการตกลงกติกาบางอย่างร่วมกัน เช่น ระยะเวลาในการเล่น เพื่อเป็นการสร้างวินัยให้กับลูก รวมถึง ให้ลูกได้มีเวลาเพียงพอในการทำกิจกรรมอื่นที่เหมาะสมกับช่วงวัยด้วย เช่น การออกไปเล่น หรือการออกกำลังกาย การทำงานบ้าน เป็นต้น

“ในโลกปัจจุบันเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงหน้าจอไม่ได้ แต่จะต้องอยู่กับมันอย่างเป็นมิตร ระมัดระวังในเรื่องของเนื้อหา ระยะเวลาที่ใช้งานหน้าจอไม่มากจนเกินไปหรือปิดกั้นมากเกินไป โดยที่ต้องสร้างสัมพันธ์ระหว่างโลกจริงกับโลกในหน้าจอ เพราะโลกจริงสามารถใช้ประโชน์จากหน้าจอได้ เช่น พ่อแม่สามารถใช้หน้าจอเพื่อการเรียนรู้และเข้าใจร่วมไปกับลูกได้มากมาย ไม่อยากให้มีอคติมองการใช้หน้าจอเป็นยาพิษ หรือคิดว่ามีประโยชน์มหาศาลจนขาดการใช้อย่างระมัดระวัง”ผศ.พญ.จิราภรณ์กล่าว

ณัฐยา บุญภักดี ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็ก เยาวชน และครอบครัว สสส. กล่าวว่าโครงการนี้เป็นการดำเนินการเป็นปีที่ 2 โดยคัดเลือกหนังสือด้านการพัฒนาเด็กเยาวชน และครอบครัวที่เขียนโดยมีการรวบรวมข้อมูลเชิงวิชาการจากงานวิจัยที่น่าเชื่อถือ เพื่อเป็นองค์ความรู้ที่นำมาตอบโจทย์ชีวิตครอบครัวยุคดิจิทัลที่ต้องเผชิญประเด็นปัญหาใหม่ๆ หลากหลายรูปแบบ ซึ่งในครั้งนี้ หยิบยกประเด็นการใช้หน้าจออย่างสมดุล เพราะหลายครอบครัวมีคำถามว่า ควรให้ลูกใช้หน้าจอเมื่อไหร่ แค่ไหน อย่างไร ซึ่งสสส.สนับสนุนโครงการด้านเด็กและครอบครัวในระดับชุมชน ทำให้พบว่าครอบครัวจำนวนมากในทุกพื้นที่มีปัญหาในเรื่องการใช้หน้าจอของลูกหลานและยังหาทางออกที่เหมาะสมไม่ได้ ซึ่งข้อสรุปของการเสวนาในครั้งนี้ จะช่วยให้แต่ละครอบครัวสามารถนำไปประกอบการตัดสินใจเป็นทางเลือก เพื่อให้มีชีวิตที่มีสุขภาวะในสังคมยุคดิจิทัลอย่างรู้รอดปลอดภัยและมีสุขภาวะในครอบครัว

Latest articles

เผยเทรนด์ฮิตปลายปี 68 กลุ่ม Gen Y – Gen Z ชอบรวมกลุ่มเข้าป่า ส่งสินค้ากลางแจ้งยอดพุ่ง

เผยเทรนด์ฮิตปลายปี 68 กลุ่ม Gen Y – Gen Z  กิจกรรมกลางแจ้ง รวมกลุ่มเข้าป่า ตั้งแคมป์ ให้ธรรมชาติฮีลใจ”ดีแคทลอน ตอบรับกระแสปลายปี เปิดสาขาใหม่ บางกะปิ ด้วยกลยุทธ์ “Bring Sport Closer to People”

ซีเล็ค x เด็กสมบูรณ์ เปิดตัว “ปลาทูน่านึ่งซีอิ๊ว” ชู SMART PROTEIN สะดวกดีต่อสุขภาพ

ซีเล็ค x เด็กสมบูรณ์ เปิดตัว “ปลาทูน่านึ่งซีอิ๊ว” ชู SMART PROTEIN สะดวกดีต่อสุขภาพ คู่ความอร่อยคูณสองแบบต้นตำรับ 

SABINA จัดแคมเปญโปรโมชั่น 11.11 ดีลแรง กระตุ้นยอดขายไตรมาสสุดท้าย

“ซาบีน่า” จัดแคมเปญโปรโมชั่นเอาใจเหล่านักช้อป “11.11 สิ้นสุดการรอคอยน์ ซาบีน่าลดให้เลย 1,111 บาท” เมื่อช้อปสินค้าครบ 2,500 บาท

 เปิดตัว Canon EOS R6 Mark III ความละเอียด 32.5 ล้านพิกเซล รองรับวิดีโอแบบ Open Gate

EOS R6 Mark III เปิดมาตรฐานใหม่แห่งการสร้างสรรค์ ด้วยความละเอียดภาพ 32.5 ล้านพิกเซล บันทึกวิดีโอไฟล์ RAW 7K 60p และรองรับการถ่ายวิดีโอแบบ Open Gate

More like this