องค์กรธุรกิจเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Thailand Business Council for Sustainable Development: TBCSD) ได้จัดงานประจำปี พ.ศ. 2568 ในธีม “TBCSD Sustainable Business Forum2025” ขึ้น ณ โรงแรม เซ็นทารา แกรนด์ เซ็นทรัล พลาซ่า ลาดพร้าว กรุงเทพฯ เพื่อเป็นการแสดงจุดยืนของการเป็นผู้นำในภาคธุรกิจไทยด้านความยั่งยืน โดยการบูรณาการความร่วมมือกับทุกภาคส่วนเพื่อยกระดับมาตรฐานองค์กรภาคธุรกิจไทย อันเป็นกลไกสำคัญในการสร้างแรงขับเคลื่อนประเทศในการเปลี่ยนผ่านไปสู่สังคมและเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน ตามแนวทาง ESG ที่สอดคล้องต่อเป้าหมายของประเทศและเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของโลก
โดยในงานครั้งนี้มี ประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานองค์กรธุรกิจเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน เป็นประธานเปิดงาน และได้รับเกียรติจาก อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน มาเป็นองค์ปาฐกพิเศษ พร้อมด้วยผู้บริหารจากองค์กรพันธมิตรจาก 6 หน่วยงานหลักของประเทศ ได้แก่
1) สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
2) หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย
3) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
4) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
5) องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน)
6) สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน)
และ ผู้บริหารจากองค์กรสมาชิก TBCSD จำนวน 47องค์กร ซึ่งครอบคลุมกลุ่มอุตสาหกรรมหลักของประเทศไทย ได้แก่ กลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม การเงิน สินค้าอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง ทรัพยากร บริการ เทคโนโลยี และอื่น ๆ เข้าร่วมกว่า 400 คน

ประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานองค์กรธุรกิจเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน กล่าวว่า “ก้าวต่อไปของ TBCSD ในฐานะเครือข่ายภาคธุรกิจไทยที่ใหญ่ที่สุดเครือข่ายหนึ่งของประเทศที่ร่วมมือกันทำงานเรื่องความยั่งยืนมามากกว่า 30 ปี มีความมุ่งมั่นในการยกระดับมาตรฐานองค์กรภาคธุรกิจไทยไปสู่องค์กรต้นแบบธุรกิจคาร์บอนต่ำและยั่งยืน เพื่อร่วมขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนในมิติต่าง ๆ อันสอดคล้องกับนโยบายของประเทศและทันต่อกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกโดยการขับเคลื่อนงานด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืนของภาคธุรกิจไทยที่เป็นกลไกสำคัญในการสร้างแรงขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวไปสู่การเปลี่ยนผ่านสู่สังคมและเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน”

ปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “อนาคตไทยในการเปลี่ยนผ่านพลังงานสู่ความยั่งยืน” อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า “ปัจจุบันรวมถึงอนาคตอันใกล้ ทั่วโลกและประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งสำคัญ ทั้งด้านความมั่นคง อันเกิดจากภัยคุกคามรูปแบบใหม่ แรงกดดันจากภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน และที่สำคัญ คือ แรงกดดันจากทั่วโลกเร่งเข้าสู่การบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero Emission โดยล่าสุดจากการประชุม COP ครั้งที่ 30 ณ เมืองเบเลง ประเทศบราซิล ประเทศไทยเน้นย้ำเจตนารมณ์การให้ความสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
โดยประเทศไทยตั้งเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกให้ได้ร้อยละ 47 ภายในปี 2573 เมื่อเทียบกับปี 2562 หรือราว 152 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า เพื่อสนับสนุนการบรรลุเป้าหมาย Net Zero Emission ภายในปี 2593 (ค.ศ. 2050) ซึ่งคาดว่าภาคพลังงานจะเป็นภาคส่วนหลักที่ต้องมีการปรับตัวอย่างมากต่อการสนับสนุนการบรรลุเป้าหมายดังกล่าว รวมถึงต้องมีการยกระดับความพร้อมต่อการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานของประเทศไทยอย่างเป็นรูปธรรม
ซึ่งสิ่งเหล่านี้สะท้อนมาสู่การวางนโยบายด้านพลังงานแห่งอนาคตที่ต้องมีการพัฒนาให้เท่าทันต่อความท้าทายดังกล่าว เพื่อตอบโจทย์นี้ กระทรวงพลังงานจึงได้นำเสนอนโยบาย Quick Big Win ด้านพลังงานผ่านโครงการต่าง ๆ ที่มากกว่าแค่การส่งเสริมหรือขับเคลื่อนนโยบายแต่ต้องพัฒนาตั้งแต่โครงสร้างพื้นฐาน ด้านพลังงาน จนถึงกฎหมายและกฎระเบียบที่มารองรับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานเพื่อให้เกิดการสร้างความยั่งยืนในระยะยาว
จากนโยบาย Quick Big Winสามารถนำไปสู่การลงทุนขนาดใหญ่มูลค่ารวมกว่า 1 ล้านล้านบาท และเป็นก้าวสำคัญที่สนับสนุนให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมาย Net Zero ในปี 2050 ได้อย่างยั่งยืน ภายใต้ความท้าทายที่ต้องเผชิญ
ปัจจุบัน นโยบาย Quick Big Win ด้านพลังงานหลายมาตรการเริ่ม Kick off แล้ว อาทิ โครงการโซลาร์ฟาร์มชุมชน เป้าหมาย 1,500 MW ทั่วประเทศ โดย กพช. เห็นชอบหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการเข้าร่วมโครงการ ซึ่งคาดว่าจะสร้างประโยชน์จากการกระตุ้นการลงทุน และนำมาสู่ประโยชน์ต่อประชาชนรอบโรงไฟฟ้าได้รับส่วนลดค่าไฟฟ้าจากโครงการดังกล่าว
นอกจากนี้ ครม. มีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา เพื่อส่งเสริมการติดตั้ง Solar Rooftop ในบ้านอยู่อาศัยด้วยมาตรการทางภาษี ที่ถือเป็นมาตรการสำคัญที่สนับสนุนให้ประชาชนสามารถนำค่าใช้จ่ายการติดตั้ง Solar Rooftop มาลดหย่อนภาษี และอีกหนึ่งก้าวที่สำคัญของภาคพลังงานประเทศที่มีการ kick off แล้ว คือ การจัดทำแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศ หรือ PDP ฉบับใหม่
โดย กบง. มีมติแต่งตั้งคณะอนุกรรมการพยากรณ์และจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ เพื่อจัดทำแผน PDP ที่สอดรับกับความท้าทายใหม่ที่เกิดขึ้น ซึ่งถือเป็นแผนพลังงานฉบับแรกที่เกิดขึ้นภายใต้เป้าหมาย Net Zero 2050 จากตัวอย่างนโยบายที่เริ่ม Kick off เห็นได้ว่า เป็นการสร้างแรงกระตุ้นที่สำคัญต่อการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานสะอาดอย่างมีนัยสำคัญเพื่อสนับสนุนการบรรลุเป้าหมาย Net Zero Emission ของประเทศในอนาคต”

บรรยายพิเศษ โดย วิวรรธน์ เหมมณฑารพ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และ ประธานสถาบันนวัตกรรมเพื่ออุตสาหกรรม ในหัวข้อ “ทิศทางอุตสาหกรรมไทยสู่ความยั่งยืน”กล่าวว่า “ภาคอุตสาหกรรมไทยกำลังเผชิญกับคลื่นความท้าทายครั้งใหญ่ที่เชื่อมโยงกันอย่างซับซ้อน ตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี (AI และ Industry 4.0), ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และที่สำคัญที่สุด คือ แรงกดดันด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งนำมาสู่มาตรการทางการค้าใหม่ ๆ ทั่วโลก
ปัจจัยเหล่านี้ได้บีบให้ภาคธุรกิจต้องเร่งปรับ โครงสร้างเพื่อมุ่งสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน และรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก โดยประเทศไทยได้ ประกาศเป้าหมายระดับชาติในการบรรลุ ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2050 และ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2065 เพื่อสร้างหลักประกันการเติบโตใน ระยะยาว
ยุทธศาสตร์หลักในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทยคือการนำ โมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) มาใช้เป็นกลไกสำคัญในการเปลี่ยนข้อจำกัดด้านสิ่งแวดล้อมให้เป็น โอกาสทางธุรกิจใหม่ (New S-Curve) ภายใต้แนวคิด “Sustainability Achieve ESG” พร้อมด้วยกลยุทธ์การปรับตัวที่สำคัญคือ “4 GO” ซึ่งประกอบด้วย Go Green, Go Global, Go Digital, และ Go for New S-Curve เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขันในระดับสากล
โดยแนวทางการปรับตัวของผู้ประกอบการครอบคลุมการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนด้วยพลังงานสะอาดและ Climate Tech, การเพิ่มผลิตภาพด้วย Industry 4.0 และ AI, และการบริหารความเสี่ยงในห่วงโซ่อุปทาน ทั้งนี้มีการใช้ นวัตกรรมขั้นสูง อาทิ CCUS และ Green Steel เป็นเครื่องมือ สำคัญในการนำอุตสาหกรรมไทยก้าวสู่เป้าหมาย Net Zero อย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน”
นอกจากนี้ TBCSD ได้รับเกียรติจากผู้บริหาร 3 องค์กรด้วยกันในการนำเสนอเกี่ยวกับวิกฤตสิ่งแวดล้อมโลก “Triple Planetary Crisis” : ภาคธุรกิจไทย ปรับ เปลี่ยน ปลอด หาทางรอดจาก 3 วิกฤตโลก ซึ่งเป็นวิกฤตปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่ได้ส่งผลกระทบในทุกมิติทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ และมลพิษ ซึ่งปัญหาสำคัญทั้ง 3 ประการนี้ล้วนมีความเชื่อมโยงกันในทุกมิตินำโดย ดร.วิจารย์ สิมาฉายา ผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย และเลขาธิการองค์กรธุรกิจเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน ดร.ธนิต ชังถาวร ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ และ ดร.กิตติศักดิ์ พฤกษ์กานนท์ ผู้แทนกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

