เนื่องในเดือนแห่งการตระหนักรู้โรคมะเร็งปอดสากล มูลนิธิเครือข่ายมะเร็ง ร่วมกับกลุ่มเพื่อนมะเร็งปอด และภาคีพันธมิตร จัดงานเสวนา “เพราะทุกลมหายใจมีค่า…ก้าวผ่านมะเร็งปอด รู้เร็ว รับมือได้” เพื่อสร้างความเข้าใจว่าโรคมะเร็งปอดไม่ใช่เรื่องของคนสูบบุหรี่อีกต่อไป แต่ ‘PM2.5’ กำลังกลายเป็นภัยเงียบที่คุกคามสุขภาพของทุกคน
พร้อมรณรงค์ให้คนไทยตระหนักและเข้ารับการตรวจคัดกรองตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ซึ่งขณะนี้สามารถเข้าถึงได้ภายใต้สิทธิประโยชน์ “บัตรทอง 30 บาท” ทั้งยังเดินหน้าสนับสนุน “พ.ร.บ.อากาศสะอาด” ให้เป็นวาระด้านสุขภาพระดับชาติ เพื่อสุขภาวะที่ยั่งยืนของคนไทยในระยะยาว
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์ไนยรัฐ ประสงค์สุข หัวหน้าแผนกอายุรศาสตร์โรคมะเร็ง โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เปิดเผยว่า “ประเทศไทยมีผู้ป่วยมะเร็งปอดรายใหม่มากถึง 23,713 รายต่อปี หรือเฉลี่ยเกือบ 2.7 รายต่อชั่วโมง โดยมะเร็งปอดถือเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับสองของโรคมะเร็งทั้งหมดในไทย หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามคือมลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะฝุ่น PM2.5 ซึ่งมีงานวิจัยในปี พ.ศ. 2562 ชี้ว่าเป็นปัจจัยอันดับสองที่เชื่อมโยงกับการเสียชีวิตจากมะเร็งปอดมากถึง 15% และแนวโน้มนี้ยังคงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง”
“สิ่งที่น่ากังวลไม่แพ้จำนวนผู้ป่วยคือ การที่คนส่วนใหญ่ไม่ทราบว่าตนเองเป็นมะเร็งปอด เนื่องจากไม่ได้เข้ารับการตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอ ส่งผลให้หลายรายถูกวินิจฉัยในระยะลุกลาม โดยสถิติจากไทยและภูมิภาคเอเชียระบุว่า 57% ของผู้ป่วยมะเร็งปอดถูกตรวจพบในระยะที่ 4 ขณะที่มีเพียง 16% เท่านั้นที่พบในระยะแรก ทั้งที่หากตรวจพบตั้งแต่เริ่มต้น โอกาสรักษาหายมีสูงถึง 92%
แต่เมื่อเข้าสู่ระยะที่ 4 การรักษาจะซับซ้อน ต้องใช้การดูแลแบบบูรณาการ ทั้งเคมีบำบัด การฉายรังสี และยามุ่งเป้า ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงและต้องรักษาอย่างต่อเนื่อง การตระหนักรู้และการตรวจคัดกรองมะเร็งปอดตั้งแต่เนิ่น ๆ จึงไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป แต่คือความจำเป็น เพราะยิ่งตรวจเจอไว ยิ่งรักษาได้เร็ว และนั่นอาจหมายถึงโอกาสในการมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น”
นอกจากนี้เสียงจากผู้ป่วยจริงในงานก็ยิ่งสะท้อนภาพความจริงในสังคมไทยได้ชัดเจนขึ้น คุณวิศรุต อุ่นอารมณ์ ลูกชายผู้ดูแลคุณแม่ที่ป่วยเป็นมะเร็งปอดระยะที่ 4 กล่าวว่า “แม้ครอบครัวเราจะใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ใช้เครื่องฟอกอากาศสม่ำเสมอ ปลูกต้นไม้รอบบ้าน และพยายามทำให้บ้านปลอดภัยที่สุด แต่เรากลับชะล่าใจ ไม่เคยพาคุณแม่ไปตรวจสุขภาพหรือคัดกรองมะเร็งปอด เพราะคิดว่าไม่มีความเสี่ยง เนื่องจากคุณแม่ไม่เคยสูบบุหรี่และไม่มีอาการผิดปกติใด ๆ จนต้นปีที่ผ่านมาเริ่มเบื่ออาหาร น้ำหนักลดลงอย่างผิดสังเกต ทั้งที่ไม่มีอาการไอหรือสัญญาณเตือนอื่น ๆ
กระทั่งพบว่าเป็นมะเร็งปอดระยะที่ 4 ซึ่งตอนนั้นตับของคุณแม่อ่อนแอเกินกว่าจะใช้ยามุ่งเป้าได้ การรักษาจึงยากขึ้นมาก มะเร็งลุกลามไปยังกระดูกสันหลังและอวัยวะอื่น ๆ ทำให้ต้องเน้นการดูแลแบบประคับประคอง ทุกวันนี้คุณแม่ยังคงต่อสู้อย่างเข้มแข็ง ส่วนเราก็ให้กำลังใจและพยายามหาทางรักษาที่ดีที่สุดเพื่อคุณแม่อย่างไม่ย่อท้อ เพราะบทเรียนสำคัญที่เราได้เรียนรู้คือ ‘อย่าชะล่าใจ แม้จะคิดว่าเราระมัดระวังมากแค่ไหนก็ตาม’”
ขณะที่ ศุภาทร กัลยาณสุต ผู้ป่วยมะเร็งปอดระยะที่ 4 เล่าว่า “แม้จะเป็นคนรักสุขภาพ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ไม่เคยสูบบุหรี่ และไม่มีใครในครอบครัวที่สูบบุหรี่เลย แต่วันหนึ่งกลับพบว่าตัวเองเป็นมะเร็งปอดจากการตรวจสุขภาพประจำปี ซึ่งปัจจุบันอยู่ในระยะที่ 4 และต้องเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่อง ทั้งการผ่าตัด เคมีบำบัด และยามุ่งเป้า การรักษาเหล่านี้ไม่เพียงใช้เวลายาวนาน แต่ยังส่งผลต่อร่างกายและจิตใจ อีกทั้งยังตามมาด้วยภาระค่าใช้จ่ายจำนวนมาก แม้จะได้รับการรักษาตามสิทธิ์ แต่ยามุ่งเป้าที่จำเป็นต้องใช้ทุกวัน จำนวน 30 เม็ดต่อเดือน ยังคงมีค่าใช้จ่ายสูงถึงประมาณ 70,000 บาทต่อเดือน ทำให้ความกังวลไม่ได้อยู่เพียงเรื่องสุขภาพ แต่รวมถึงภาระทางการเงินที่ต้องเผชิญในระยะยาวด้วย”
จิตนิภา ภักดี ผู้ป่วยมะเร็งปอดระยะที่ 4 เปิดเผยว่า “ตนเองตรวจพบว่าเป็นมะเร็งปอดระยะที่ 4 ในขณะมีอายุเพียง 29 ปี ทั้งที่ไม่มีประวัติสูบบุหรี่หรือพฤติกรรมเสี่ยงใด ๆ สิ่งที่ทำให้ตั้งคำถามคือการเติบโตมาในจังหวัดแพร่ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีหมอกควันและค่าฝุ่น PM2.5 สูงในบางช่วงของปี จึงเชื่อว่ามลพิษทางอากาศอาจมีส่วนเกี่ยวข้อง
โดยอาการเริ่มต้นมีทั้งไอเรื้อรัง น้ำหนักลดลงรวดเร็ว และเหนื่อยง่ายต่อเนื่องนาน 2 เดือน เมื่อตัดสินใจเข้ารับการตรวจอย่างละเอียด ก็พบว่าเป็นมะเร็งปอดระยะที่ 4 ชนิดเซลล์ไม่เล็ก พร้อมการกลายพันธุ์ของยีน EGFR ซึ่งมักพบในผู้ป่วยที่ไม่เคยสูบบุหรี่ การวินิจฉัยในระยะลุกลามส่งผลกระทบอย่างหนักทั้งต่อร่างกาย จิตใจ และการใช้ชีวิต เหตุการณ์นี้ทำให้ตระหนักอย่างลึกซึ้งว่า มะเร็งปอดไม่ได้เกิดแค่กับผู้สูงอายุหรือคนที่มีพฤติกรรมเสี่ยง แต่อายุน้อยก็สามารถเป็นได้ และโรคนี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป”
ทางด้าน กัญฐนา อภิรภากรณ์ จากสมาคมเครือข่ายอากาศสะอาดเพื่อสุขภาพ กล่าวว่า “สมาคมฯ ก่อตั้งขึ้นจากความตั้งใจของภาคประชาชนที่ลุกขึ้นมาเรียกร้อง ‘สิทธิในการหายใจอากาศสะอาด’ ซึ่งเชื่อว่าเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของทุกคน เพราะสุขภาพที่ดีไม่ใช่แค่เรื่องส่วนบุคคล แต่คือรากฐานของสังคมที่เข้มแข็งและยั่งยืน ท่ามกลางวิกฤตฝุ่น PM2.5 ที่กำลังกลายเป็นต้นตอสำคัญของปัญหาสุขภาพเรื้อรังในประเทศไทย โดยเฉพาะโรคระบบทางเดินหายใจและมะเร็งปอด ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อประชาชนทุกกลุ่ม
สมาคมฯ จึงสนับสนุนการผลักดัน พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของรัฐบาล โดยมุ่งหวังให้เป็นกฎหมายสำคัญในการจัดการต้นเหตุของปัญหานี้อย่างยั่งยืน เพื่อให้คนไทยทุกคนได้หายใจอย่างมั่นใจ และมีสุขภาพดีอย่างเท่าเทียมทั่วประเทศ”
แม้สังคมไทยจะเริ่มตื่นตัวต่อปัญหาฝุ่น PM2.5 ผ่านข้อเสนอด้านนโยบายและกฎหมายเพื่อจัดการต้นตอของมลพิษทางอากาศ แต่สิ่งที่ไม่ควรมองข้ามควบคู่กันคือการให้ความสำคัญกับ “การตรวจคัดกรองมะเร็งปอด” เพราะยิ่งตรวจพบเร็ว ยิ่งมีโอกาสรักษาได้มากขึ้น ด้วยนวัตกรรม AI ที่ช่วยคัดกรองโรคจากภาพถ่ายเอกซเรย์ทรวงอกจึงเป็นอีกหนึ่งความหวังของระบบสาธารณสุขไทย ซึ่งปัจจุบันได้รับการบรรจุอยู่ในสิทธิประโยชน์ของบัตรทองแล้ว ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการขับเคลื่อนระบบสุขภาพไทยจาก “การรักษาระยะท้าย” สู่ “การป้องกันและวินิจฉัยระยะแรก” อย่างยั่งยืนและเท่าเทียม เพื่อให้ทุกลมหายใจของคนไทยปลอดภัยและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในระยะยาว