เอบีม คอนซัลติ้ง ชู GHG Reporting & Management หนุนองค์กรสู่เป้าหมาย Net Zero

Published on

ในยุค ‘โลกเดือด’ (Global Boiling) ที่โลกเผชิญกับอุณหภูมิที่พุ่งสูงอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน พร้อมกับภัยพิบัติทางธรรมชาติที่รุนแรงและถี่ขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ สังคมมนุษย์จำเป็นต้องเร่งดำเนินการเปลี่ยนแปลงในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ พลังงาน อุตสาหกรรม เกษตรกรรม รวมถึงวิถีชีวิตประจำวันของผู้คน เพื่อร่วมกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและฟื้นฟูสมดุลของระบบนิเวศโดยด่วนที่สุด

มิฉะนั้น ความเสียหายที่เกิดขึ้นอาจเกินจุดที่สามารถเยียวยาได้ การชะลอและบรรเทาความรุนแรงของวิกฤตโลกร้อนจึงไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป แต่เป็นภารกิจเร่งด่วนที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันอย่างจริงจังและเป็นรูปธรรม

หนึ่งในความพยายามครั้งสำคัญที่สุดของประชาคมโลก คือการจัดทำ “ความตกลงปารีส (Paris Agreement)” ซึ่งเป็นข้อตกลงความร่วมมือระดับนานาชาติ ภายใต้กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยมีเป้าหมายเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก Greenhouse Gas Emissions (GHG Emission)

ข้อตกลงฉบับนี้จัดทำขึ้นเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2558 ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งมีเป้าหมายในการจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกให้ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียส และพยายามควบคุมให้อยู่ไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียสหากเป็นไปได้ นอกจากนี้ ยังถือเป็นการวางรากฐานแนวคิดใหม่ในการดำเนินธุรกิจ ที่มิได้มุ่งเพียงแค่ผลกำไร แต่ให้ความสำคัญกับการสร้างความยั่งยืนของโลกและอนาคตที่มั่นคงสำหรับสังคมโดยรวม

ผลจากความตกลงปารีสได้นำไปสู่การออกมาตรการหลากหลายที่ส่งเสริมและผลักดันให้ภาคธุรกิจดำเนินกิจการโดยคำนึงถึงหลักความยั่งยืนเป็นสำคัญ หนึ่งในเครื่องมือที่มีบทบาทสำคัญในการกำกับดูแลกิจกรรมขององค์กรที่ใช้เป็นมาตรวัตในการช่วยกำกับดูแลการดำเนินกิจกรรมขององค์กรคือ “รายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก” (GHG Inventory Report) เป็นรายงานที่คำนวณและวิเคราะห์ว่าแต่ละกิจกรรมขององค์กรของก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกมากน้อยเพียงใด ซึ่งประเมินผลกระทบจากกิจกรรมตลอดห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ขององค์กร

สำหรับประเทศไทยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้มีกำหนดให้บริษัทที่จดทะเบียนต้องจัดทำและเปิดเผยข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างเป็นระบบ รายงานนี้ไม่เพียงเป็นการแสดงความโปร่งใสด้านสิ่งแวดล้อม หากยังเป็นส่วนสำคัญของการประเมินความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ และสะท้อนความรับผิดชอบขององค์กรภายใต้กรอบ ESG ที่กำลังกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของโลกธุรกิจ

ข้อบังคับดังกล่าวสร้างแรงกดดันอย่างมีนัยสำคัญต่อบริษัทและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทานซึ่งต่างจำเป็นต้องปรับตัวและเข้าร่วมข้อตกลงดังกล่าวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และเป็นข้อกำหนดผูกมัดตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ความรับผิดชอบด้านสิ่งแวดล้อมจึงไม่ได้ตกอยู่ที่บริษัทใดบริษัทหนึ่งอีกต่อไป แต่กระจายไปยังทุกภาคส่วนในระบบเศรษฐกิจ ก่อให้เกิดแรงผลักดันที่เข้มข้นจากภาครัฐ เพื่อเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง สู่ระบบธุรกิจที่ยั่งยืนมากขึ้น แม้แรงกดดันนี้จะส่งผลต่อการดำเนินงานของภาคธุรกิจอย่างกว้างขวาง แต่ก็ถือเป็นแรงสั่นสะเทือนครั้งสำคัญที่จะสร้างผลลัพธ์เชิงบวกให้กับโลกใบนี้ในระยะยาว

จรรยา ชื่นจิตต์ ผู้จัดการอาวุโส ฝ่าย Sustainability Transformation บริษัท เอบีม คอนซัลติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยข้อมูลที่น่าสนในงานสัมมนา “Empowering Sustainability – Digitalizing GHG Emission Monitoring and Reporting for Enhanced Accuracy and Compliance” ว่าหลายครั้งที่บริษัทต้องพบกับอุปสรรคในการจัดทำรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้มีความถูกต้อง แม่นยำ และมีประสิทธิภาพยังคงเป็นความท้าทายสำคัญที่หลายองค์กรต้องเผชิญ

“แม้ว่ารายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ภาคธุรกิจต้องดำเนินการจัดทำ แต่ในทางปฎิบัติกลับพบข้อจำกัดและอุปสรรคอยู่ไม่น้อย ทั้งในด้านมาตรฐาน วิธีการ และความเข้าใจที่ยังไม่เท่าเทียมกันระหว่างองค์กร ซึ่งความคลาดเคลื่อนเหล่านี้ไม่เพียงส่งผลต่อความแม่นยำของรายงานเท่านั้น หากยังอาจก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัวจากกระบวนการที่จัดทำอย่างไม่ถูกวิธี” จรรยากล่าว

จรรยา กล่าวเสริมว่า หนึ่งในอุปสรรคที่พบได้บ่อยและมักจะเป็นปัญหาอันดับต้นๆ ในการจัดทำรายงาน คือความไม่สอดคล้องของข้อมูลที่ใช้ในแต่ละองค์กร ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบข้อมูล มาตรฐานที่ใช้ หรือหน่วยวัดที่แตกต่างกัน รายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นรายงานที่แต่ละบริษัทต้องจัดทำขึ้นเองและมีการส่งต่อข้อมูลต่อเนื่องกันเป็นทอด ๆ ตามห่วงโซ่อุปทาน

แต่ในความเป็นจริง บริษัทหนึ่งอาจใช้หน่วยวัดเป็นกิโลกรัม ขณะที่ซัพพลายเออร์อีกรายใช้หน่วยแกลลอน ความแตกต่างเหล่านี้ แม้ดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่เมื่อนำข้อมูลมาใช้ร่วมกันโดยไม่ผ่านการปรับมาตรฐานให้สอดคล้อง ก็สามารถก่อให้เกิดความคลาดเคลื่อนของข้อมูลที่รายงานได้”

นอกจากนี้ วิธีการจัดเก็บข้อมูลที่ยังคงพึ่งพาการบันทึกด้วยมือ (Manual) ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงหรือ Human Error ทั้งในขั้นตอนการเก็บรวบรวมข้อมูลและการคำนวณ ซึ่งล้วนส่งผลต่อความแม่นยำ ความน่าเชื่อถือ และอาจนำไปสู่การรายงานข้อมูลที่ผิดพลาดโดยไม่ตั้งใจ

แม้ว่าองค์กรจำนวนมากจะตระหนักถึงความสำคัญของการจัดทำรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และเร่งพัฒนาระบบการจัดทำรายงานให้มีประสิทธิภาพ แต่ในทางปฏิบัติกลับต้องเผชิญกับความท้าทายที่ซับซ้อน คุณจรรยาได้สะท้อนถึง 3 อุปสรรคหลักที่มักเกิดขึ้นในการดำเนินงานนี้

ประการแรกคือ การขาดการวางแผนที่ดีพอ บางองค์กรยังไม่มีประสบการณ์หรือความเข้าใจเพียงพอเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทำให้กระบวนการที่ตั้งใจจะลดการปล่อยคาร์บอนกลับกลายเป็นกิจกรรมที่ใช้ทรัพยากรมากเกินความจำเป็น และอาจสร้างคาร์บอนเพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัว

ประการที่สอง คือการประมวลข้อมูลที่ไม่มีความเชื่อมโยงเป็นระบบ แม้องค์กรจำนวนมากจะเก็บข้อมูลไว้ในรูปแบบที่หลากหลาย แต่ขาดการออกแบบระบบข้อมูลให้รองรับการใช้งานต่อเนื่อง ทำให้เมื่อถึงเวลาต้องรวมและวิเคราะห์ข้อมูลจากหลายแหล่ง เช่น ซัพพลายเออร์หลายเจ้า หรือจากหน่วยธุรกิจต่าง ๆภายในองค์กร ข้อมูลกลับไม่สอดคล้องกันและส่งผลให้เกิดความล่าช้า ความคลาดเคลื่อน ซึ่งอาจทำให้รายงานขาดความน่าเชื่อถือในภาพรวม

ประการสุดท้าย ซึ่งเป็นความท้าทายที่แท้จริงในการจัดทำรายงาน เพราะการเก็บข้อมูลบางส่วนเป็นไปได้ยาก ในรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจะมีการแบ่งส่วนของรายงานออกเป็น Scope 1-3 แบ่งตามกิจกรรมที่ก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ได้แก่

  • Scope 1: ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นโดยตรงจากกิจกรรมที่ควบคุมได้ภายในองค์กร ช่น การเผาไหม้เชื้อเพลิงในกระบวนการผลิต
  • Scope 2: การปล่อยก๊าซทางอ้อมจากการใช้พลังงานจากภายนอกเพื่อการปฏิบัติงานภายใน เช่น พลังงานไฟฟ้า หรือ พลังงานไอน้ำ เป็นต้น

Scope 3: การปล่อยก๊าซทางอ้อมจากกิจกรรมที่เกิดขึ้นในห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งอยู่นอกเหนือการควบคุมขององค์กรโดยตรง เช่น การขนส่ง การใช้ผลิตภัณฑ์ และการจัดการของเสีย ข้อมูลกิจกรรมของซัพพลายเออร์ หรือหน่วยงานที่อยู่ภายนอก และไม่สามารถควบคุมโดยตรง ทำได้เพียงขอความร่วมมือในการส่งต่อข้อมูลเพื่อให้บริษัทนำมาต่อยอดในการจัดทำรายงานต่อไป

ซึ่ง Scope 3 นี่เองที่เป็นอุปสรรคใหญ่ที่สุด เพราะต้องพึ่งพาความร่วมมือจากภายนอก และไม่มีการบังคับใช้โดยตรง องค์กรจึงอาจได้รับข้อมูลไม่ครบถ้วนหรือไม่ตรงตามมาตรฐานที่ใช้

เพื่อลดอุปสรรคเหล่านี้ คุณจรรยา เสนอทางออกที่สามารถก้าวข้ามความท้าทายทั้ง 3 ไปได้ด้วยการใช้เทคโนโลยี “ GHG Reporting & Management” เป็นเครื่องมือที่ออกแบบมาเพื่อการจัดทำรายงานการปล่อยก๊าซเรือน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยเหลือ เครื่องมือนี้สามารถเชื่อมโยงข้อมูลจากส่วนงานต่างๆภายในองค์กร และจากซัพพลายเออร์ภายนอกเข้าสู่ระบบเดียว ผ่านการทำ Digital Transformation (DX) พร้อมจัดเก็บแบบอัตโนมัติและเรียลไทม์

ข้อดีคือ องค์กรจะสามารถวิเคราะห์ วางแผน และจัดทำรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ลดภาระการทำงานซ้ำซ้อน ลดข้อผิดพลาดจากมนุษย์ และยังสามารถดึงข้อมูลจากซัพพลายเออร์ที่ใช้มาตรฐานต่างกันมารวมในรูปแบบที่องค์กรต้องการได้ทันที

ในโลกที่ข้อมูลคือรากฐานของการเปลี่ยนแปลง เทคโนโลยีจึงไม่ใช่ทางเลือก แต่คือเครื่องมือสำคัญขององค์กรในการขับเคลื่อนสู่ความยั่งยืน

เมื่อองค์กรสามารถเปลี่ยนผ่านสู่การเป็นองค์กรดิจิทัลได้สำเร็จ ก็จะสามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่ถูกจัดเก็บเข้าระบบอย่างแม่นยำและรวดเร็วในการสร้างรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ได้อย่างง่ายดายและมีประสิทธิภาพ เครื่องมือ “GHG Reporting & Management” นี้ช่วยให้การจัดทำแบบฟอร์มรายงานสามารถดำเนินการได้โดยอัตโนมัติจากฐานข้อมูลที่มีอยู่แล้ว ลดภาระด้านเวลา ความซับซ้อน และความผิดพลาดในการรวบรวมข้อมูล

เครื่องมือดังกล่าวยังรองรับการนำเข้าข้อมูลจากซัพพลายเออร์หลายรายในเวลาเดียวกัน พร้อมความสามารถในการจัดการข้อมูลที่มีมาตรฐานต่างกันให้อยู่ในรูปแบบเดียวอย่างทันที ถือเป็นคำตอบสำหรับการบริหารข้อมูลจำนวนมากอย่างเป็นระบบ และเป็นรากฐานของการสร้างรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ที่เชื่อถือได้ในระดับสากล

การทำ Digital Transformation (DX) นี้ ไม่เพียงแต่ส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเท่านั้น แต่ยังกลายเป็นเครื่องมือสำคัญขององค์กรในหลายมิติ โดยเฉพาะด้านการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน เช่น การลดงานซ้ำซ้อน ลดการพึ่งพาเอกสารที่ใช้เวลานาน และปรับกระบวนการให้คล่องตัวมากขึ้น ที่สำคัญ DX ยังทำหน้าที่เสมือนระบบ Health Check ขององค์กร ช่วยให้ผู้บริหารสามารถเข้าถึงข้อมูลแบบเรียลไทม์ ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล ค้นหาจุดอ่อนที่อาจซ่อนอยู่

รวมถึงวิเคราะห์ปัญหาเชิงลึกที่อาจไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยกระบวนการเดิม เพื่อวางแผนปรับปรุงหรือพัฒนาการทำงานได้อย่างแม่นยำ อีกทั้งยังช่วยจัดลำดับความสำคัญของงาน และเพิ่มศักยภาพในการบริหารทรัพยากรบุคคล ไม่ว่าจะเป็นการโยกย้าย การจัดทีม หรือการยกระดับทักษะของพนักงานให้สามารถทำงานที่สร้างมูลค่าเพิ่มได้มากยิ่งขึ้น

โดยภาพรวม การดำเนินการ Digital Transformation (DX) จึงไม่ใช่เพียงหนึ่งในทางเลือกหรือโซลูชันที่องค์กรอาจพิจารณา แต่เป็นยุทธศาสตร์หลักที่จำเป็นสำหรับองค์กรที่ต้องการเติบโตอย่างมั่นคง ท่ามกลางบริบทของโลกธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและซับซ้อน DX ไม่เพียงยกระดับประสิทธิภาพการทำงานภายในองค์กร แต่ยังช่วยจัดระเบียบและบริหารคลังข้อมูลขนาดใหญ่ที่กระจัดกระจายให้เป็นระบบ อีกทั้งยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการจัดทำรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG Emissions Report) ได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำ และพร้อมต่อการตรวจสอบ ช่วยเสริมความพร้อมขององค์กรในด้านความโปร่งใสและการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อมอย่างมีประสิทธิภาพ

เอบีม คอนซัลติ้ง ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Transformation พร้อมสนับสนุนองค์กรในทุกขั้นตอนของการเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัล ในทุกส่วนสำคัญทางธุรกิจ ตั้งแต่การวิเคราะห์ วางกลยุทธ์ ออกแบบระบบ ไปจนถึงการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในระดับปฏิบัติการ เพื่อส่งมอบโซลูชันที่เหมาะสมกับบริบทเฉพาะของแต่ละองค์กร ให้สามารถปรับตัว รับมือกับความท้าทาย และสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนในยุคที่เทคโนโลยีเคลื่อนไหวเร็วกว่าที่ เคยเพื่อสร้างความแข็งแกร่งในการแข่งขันและเติบโตอย่างมั่นคงในอนาคตอย่างยั่งยืน

Latest articles

Top Music Night 2025 KUN BKPP นำทัพศิลปิน 15 กลุ่มดังบุกกรุงฯ

JOOX Top Music Night 2025 ประกาศไลน์อัพอย่างเป็นทางการ KUN BKPP และ The Toys ปล่อยใจไปกับทุกจังหวะ ดื่มด่ำกับบรรยากาศสุดมันส์! ที่มีศิลปินเอเชียชั้นนำกว่า 15 กลุ่ม

Viriyah Privileges เสิร์ฟทริปเมืองโบราณ เอาใจลูกค้าสายท่องเที่ยว

“Viriyah Privileges ทริปเที่ยวเมืองโบราณ สู่ประสบการณ์สุดประทับใจ” หนึ่งในไฮไลท์สำคัญของโปรแกรม Viriyah Privileges ในหมวดเดินทาง-ท่องเที่ยว

พันธุ์ไทย คว้า Top Outstanding Brand จากเวที Thailand Brand Footprint 2025

กาแฟพันธุ์ไทย จำกัด หนึ่งในธุรกิจ Non-Oil เครือบริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) คว้ารางวัล "Thailand Brand Footprint 2025 : Top Outstanding Brand ในหมวด Made-To-Order Coffee” จากการเป็นแบรนด์ที่ผู้บริโภคเลือกซื้อสูงสุด

อินโนเบล เทรดดิ้ง นำเข้า Collaju® เพียวคอลลาเจน เติมเต็มช่องว่างตลาดความงาม

อินโนเบล เทรดดิ้ง นำเข้าและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ "Collaju®" เพียวคอลลาเจนพร้อมใช้รายแรกในประเทศไทย ที่ผ่านการรับรองจาก อย. แล้ว เจาะกลุ่มโรงพยาบาลและคลินิกเสริมความงาม ตอบข้อจำกัดของกลุ่มผลิตภัณฑ์ฉีดหน้าเสริมความงามที่มีอยู่ในตลาด พร้อมชิงส่วนแบ่งตลาดมูลค่าคาดการณ์ตลาดในประเทศสูงถึง 8,800 ล้านบาท ภายในปี...

More like this