ttb analytics มองธุรกิจ Telemedicine เป็นปัจจัยพลิกโฉมระบบรักษาพยาบาลไทย

Published on

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics คาดธุรกิจ Telemedicine จะสร้างรายได้ส่วนเพิ่มให้กับอุตสาหกรรมสุขภาพของไทยในปี 2566 ราว 4-6 พันล้านบาท จากระบบประกันกลุ่มที่เอื้ออำนวยต่อการเข้ารับบริการ ทั้งนี้คาดธุรกิจ Telemedicine ยังมีศักยภาพขยายตัวต่อเนื่องทั้งในมิติของการเพิ่มศักยภาพและการขยายขอบเขตในการให้บริการ

Telemedicine คือ นวัตกรรมบริการทางการแพทย์ผ่านเทคโนโลยีวิดีโอคอล เป็นบริการทางการแพทย์ที่ช่วยลดข้อจำกัดด้านเวลาในการเข้าถึงระบบการรักษาพยาบาล การลดต้นทุนแฝง เช่น การขาดงาน ค่าเดินทาง รวมถึงประโยชน์ในมิติของความสะดวกสบายและความเป็นส่วนตัว กอปรกับสถานการณ์ที่กดดันจากช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ส่งผลให้การรับการรักษาพยาบาลต่าง ๆ

โดยเฉพาะกลุ่มการเจ็บป่วยเล็กน้อย (Minor Illnesses) หรือกลุ่มติดตามอาการ (Follow-ups) เริ่มถูกปรับรูปแบบการให้บริการแบบ Telemedicine เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ตลาด Telemedicine ทั่วโลก ในปี 2566 มีมูลค่าสูงขึ้นแตะ 1.94 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ สูงขึ้นจากปี 2562 ที่ 4.99 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ บนความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่ช่วยยกระดับศักยภาพ Telemedicine เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องจนในปัจจุบันมีความใกล้เคียงกับการเข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลโดยเฉพาะในคนไข้กลุ่มติดตามอาการ (Follow-ups) ส่งผลให้ตลาด Telemedicine ยังสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่องโดยคาดว่าในปี 2568 มูลค่าตลาดจะขยับแตะ 2.78 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ

เมื่อพิจารณาถึงสถานการณ์ของประเทศไทย พบว่า ตลาด Telemedicine ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น (Early Stage) ความพร้อมของผู้ให้บริการ และการตอบรับของผู้ใช้บริการ ที่คาดว่าจะขับเคลื่อนผ่านระบบประกันสุขภาพกลุ่มเป็นลำดับแรกซึ่งมีกว่า 2.6 ล้านกรมธรรม์ ในปี 2565 เริ่มมีการตอบรับการใช้สิทธิ์ผ่านระบบ Telemedicine เพื่อเข้ารับบริการการดูแลรักษาในฐานะผู้ป่วยนอก (OPD) โดยไม่ต้องสำรองจ่าย ประกอบกับกลุ่มการเจ็บป่วยเล็กน้อย (Minor Illnesses) หรือกลุ่มติดตามอาการ (Follow-ups) ที่รักษาโดยไม่ต้องรับการหัตถการจากบุคลากรทางการแพทย์ หรือ กลุ่มที่รับการรักษาโดยการรับประทานยา

นอกจากนี้ ตลาด Telemedicine ในไทยยังได้รับประโยชน์จากกลุ่มธุรกิจขนส่งบรรจุภัณฑ์ (Third Part Logistic) ที่มีพื้นที่บริการครอบคลุมเกือบทั้งหมดในจังหวัดหลัก ที่มีส่วนช่วยสนับสนุนการจัดส่งยาและเวชภัณฑ์ให้ถึงมือผู้เข้ารับบริการ Telemedicine ภายในระยะเวลาไม่เกิน 3 ชั่วโมงหลังเข้ารับบริการ

ด้วยเหตุนี้บนเงื่อนไขดังกล่าว ttb analytics จึงประเมินศักยภาพการเข้ารับการรักษาพยาบาลผ่านรูปแบบ Telemedicine ในปี 2566 จะช่วยเพิ่มจำนวนการเข้ารับการรักษาพยาบาลในฐานะผู้ป่วยนอก (OPD) ได้
ตอบโจทย์จากความสะดวกที่ผู้เข้ารับบริการไม่ต้องเสียต้นทุนแฝงอื่น ๆ เช่น ค่าเดินทางและการลางานที่อาจกระทบต่อผลการประเมินประสิทธิภาพงานในแต่ละปี ทำให้เพิ่มโอกาสการเข้ารับบริการทางการแพทย์ราว 15-20% หรือ 7-8 ครั้งต่อปี จากเดิมที่มีการเข้ารับบริการ 5-6 ครั้งต่อปี และคาดว่าจะช่วยสร้างเม็ดเงินให้กับอุตสาหกรรมโรงพยาบาลเอกชนไทยเพิ่มขึ้นอีกราว 4,000-6,000 ล้านบาท นอกจากนี้ รูปแบบการให้บริการในการดูแลรักษาผ่าน Telemedicine ยังคงมีศักยภาพสูงในการขยายตัวบนมิติต่าง ๆ ตามช่วงระยะเวลา ดังนี้

1) การขยายตัวในรูปแบบ Vertical Timeline ผ่าน Cross-Product เช่น การให้บริการ Telemedicine ในรูปแบบ Treatment ที่ไม่ต้องรับหัตถการ โดยเฉพาะในกลุ่มที่ต้องการรับการรักษาบำบัดด้านความเครียดที่มีจำนวนมากขึ้นในระยะหลัง ซึ่งรูปแบบการรับบริการกลุ่มนี้ สอดคล้องกับข้อได้เปรียบของการให้บริการผ่าน Telemedicine ในมิติของความสะดวกด้านเวลา และ ความเป็นส่วนตัวของผู้รับบริการได้เป็นอย่างดี

2) การขยายตัวในรูปแบบ Horizontal Timeline เมื่อผู้ให้บริการมีความพร้อมสูงขึ้นจนสามารถเข้าสู่ระยะเติบโต (Growth Stage) โดยขยายการบริการให้ครอบคลุมมากขึ้น เช่น การบริการด้านการตรวจวิเคราะห์จากห้องปฏิบัติทางการแพทย์ (Laboratory Test) ถึงสถานที่พักอาศัย

3) การเข้าสู่ระยะการเติบโตในอัตราเร่ง (Expansion Stage) ศักยภาพของบริการ Telemedicine ที่ครอบคลุมมากขึ้นกว่าเดิม และเพิ่มโอกาสการขยายบริการเข้าสู่กลุ่มผู้รับบริการที่เป็นผู้ป่วยนอก (OPD) ซึ่งนอกเหนือจากประกันกลุ่มแล้ว เมื่อระบบ Telemedicine สามารถพัฒนาถึงการครอบคลุมกลุ่มผู้ป่วยสิทธิประกันสุขภาพทั่วหน้า (บัตรทอง) หรือ กลุ่มผู้ป่วยประกันสังคมได้ จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของการยกระดับศักยภาพระบบสาธารณสุขไทย เนื่องจาก ปัจจุบันสถานพยาบาลหลายแห่งมีจำนวนผู้ป่วยหนาแน่นเกินศักยภาพที่รองรับได้จนเกิดปัญหาด้านการจัดสรรทรัพยากรได้ไม่ทั่วถึง

ซึ่งหากระบบ Telemedicine สามารถลดจำนวนผู้ป่วยโดยเฉพาะในกลุ่มเจ็บป่วยเล็กน้อย (Minor Illnesses) หรือกลุ่มติดตามอาการ (Follow-ups) ครอบคลุมทุกสิทธิ์การรักษาจะเป็นการช่วยลดความหนาแน่นของผู้ป่วยในแต่ละสถานพยาบาลได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งจะช่วยให้การจัดสรรทรัพยากรในการดูแลรักษาสุขภาพของผู้เข้ารับบริการมีประสิทธิภาพสูงขึ้น

ในภาพรวมของธุรกิจสุขภาพไทย Telemedicine จะเป็นปัจจัยพลิกโฉมรองรับผู้ป่วยนอกได้ดีขึ้น โดยคาดว่าปี 2566 ได้เริ่มขับเคลื่อนผ่านระบบประกันสุขภาพกลุ่มเป็นลำดับแรก พร้อมทั้ง พัฒนาศักยภาพไปสู่การให้บริการกับกลุ่มคนอื่น ๆ ต่อไป นอกจากนี้ ยังทำให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น การขนส่ง ไอทีต่าง ๆ ขยายตัวรองรับการเติบโตด้วยเช่นกัน

Latest articles

เผยเทรนด์ฮิตปลายปี 68 กลุ่ม Gen Y – Gen Z ชอบรวมกลุ่มเข้าป่า ส่งสินค้ากลางแจ้งยอดพุ่ง

เผยเทรนด์ฮิตปลายปี 68 กลุ่ม Gen Y – Gen Z  กิจกรรมกลางแจ้ง รวมกลุ่มเข้าป่า ตั้งแคมป์ ให้ธรรมชาติฮีลใจ”ดีแคทลอน ตอบรับกระแสปลายปี เปิดสาขาใหม่ บางกะปิ ด้วยกลยุทธ์ “Bring Sport Closer to People”

ซีเล็ค x เด็กสมบูรณ์ เปิดตัว “ปลาทูน่านึ่งซีอิ๊ว” ชู SMART PROTEIN สะดวกดีต่อสุขภาพ

ซีเล็ค x เด็กสมบูรณ์ เปิดตัว “ปลาทูน่านึ่งซีอิ๊ว” ชู SMART PROTEIN สะดวกดีต่อสุขภาพ คู่ความอร่อยคูณสองแบบต้นตำรับ 

SABINA จัดแคมเปญโปรโมชั่น 11.11 ดีลแรง กระตุ้นยอดขายไตรมาสสุดท้าย

“ซาบีน่า” จัดแคมเปญโปรโมชั่นเอาใจเหล่านักช้อป “11.11 สิ้นสุดการรอคอยน์ ซาบีน่าลดให้เลย 1,111 บาท” เมื่อช้อปสินค้าครบ 2,500 บาท

 เปิดตัว Canon EOS R6 Mark III ความละเอียด 32.5 ล้านพิกเซล รองรับวิดีโอแบบ Open Gate

EOS R6 Mark III เปิดมาตรฐานใหม่แห่งการสร้างสรรค์ ด้วยความละเอียดภาพ 32.5 ล้านพิกเซล บันทึกวิดีโอไฟล์ RAW 7K 60p และรองรับการถ่ายวิดีโอแบบ Open Gate

More like this