ABeam แนะ 3 แนวทางการป้องกันภัยไซเบอร์ ระบุช่วง WFH เสียงสูงกว่าเดิม

Published on

ABeam เผยจากวิกฤติโควิด-19 96 % ขององค์กรปัจจุบันเล็งเห็นถึงความสำคัญของปลอดภัยทางไซเบอร์ โดยเฉพาะเทรนด์ของ Remote Working จากไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไปที่ต้องเว้นระยะห่างทางสังคม ทั้งนี้ เพื่อเตรียมพร้อมรับมือภัยเงียบอย่างแฮกเกอร์ที่ฉวยโอกาสเรียกผลประโยชน์จากช่องโหว่ของ Remote Working ที่จะเพิ่มความเสี่ยงด้านไซเบอร์ให้กับองค์กรถึง 37%

นายอิชิโร ฮาระ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอบีม คอนซัลติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทที่ปรึกษาระดับโลก ซึ่งเป็นผู้ให้บริการที่มีความเชี่ยวชาญด้านการปรับเปลี่ยนองค์กรธุรกิจในรูปแบบดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชัน ในเครือบริษัท เอบีม คอนซัลติ้ง จำกัด ประเทศญี่ปุ่น เปิดเผยว่า ข้อมูลจาก Infosecurity Magazine พบว่าจากการสัมภาษณ์ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายความปลอดภัยของข้อมูลกว่า 250 คน มีจำนวน 96% ที่มีความต้องการที่จะเพิ่มความปลอดภัยทางไซเบอร์ให้กับบริษัทของตน อันเนื่องมาจากการปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานเป็นแบบ Remote Working เพราะไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไปที่ต้องเว้นระยะห่างทางสังคม แม้ว่าไลฟ์สไตล์นี้จะช่วยลดต้นทุนให้กับองค์กร แต่มันก็ถือเป็นโอกาสทองของแฮกเกอร์ที่จะฉวยโอกาสเรียกผลประโยชน์จากช่องโหว่ของระบบ Remote Working โดยพบว่าองค์กรที่ทำงานในรูปแบบ Remote Working จะมีความเสี่ยงจากภัยไซเบอร์เพิ่มขึ้นถึง 37% ที่อาจจะได้รับความเสียหายจากการถูกโจมตีจากแฮกเกอร์

“ภัยไซเบอร์เกิดจากสาเหตุ 3 ข้อใหญ่ ๆ คือ 1. องค์การมีการจัดเตรียมเรื่อง Remote Working ไม่ถี่ถ้วน ทำให้ระบบสนับสนุนต่าง ๆ ไม่ปลอดภัย ซึ่งรวมถึง VPN, Cloud, Workstations, Notebooks รวมถึงการตระหนักถึงความปลอดภัยทางไซเบอร์ของพนักงาน 2. องค์กรมีการรักษาความมั่นคงแบบ “เปลือกไข่” หมายถึงมีความแข็งเฉพาะที่เปลือกไข่ แต่ภายในสามารถเข้าถึงกันได้หมด โดยเฉพาะในปัจจุบันที่พนักงานทำงานจากนอกองค์กร ไม่ว่าจะเป็นการทำงานจากที่บ้าน หรือทำงานที่อินเตอร์เน็ตคาเฟ่ต่าง ๆ แฮกเกอร์จะสามารถใช้ช่องโหว่ต่าง ๆ เพื่อเข้ามาถึงองค์กร ได้ง่ายขึ้น และสามารถเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ต่าง ๆ ที่ไร้การปกป้องได้ทันที และ 3. กลุ่มแฮกเกอร์ที่ทำงานเรียกค่าไถ่ หรือ “ransomware” มีการทำงานอย่างแอคทีฟเพิ่มมากขึ้น มีการเรียกค่าไถ่ เพื่อไม่ให้เปิดเผยข้อมูลขององค์กร” นายฮาระ กล่าว

การทำงานแบบ Remote Working จะเป็นสิ่งที่เข้ามาและคงอยู่ สิ่งที่ต้องทำคือการสร้างสมดุลย์ระหว่างการดำเนินธุรกิจและการป้องกันความเสี่ยงทางด้านไซเบอร์ โดยองค์กรควรทำการประเมินเพื่อลดความเสี่ยงในจุดนี้ ด้วยการตรวจสอบความปลอดภัยไซเบอร์ หรือRemote Working Cyber Security Assessment ผ่าน 3 ขั้นตอน คือ

  1. ตรวจสอบและเสริมความรู้ด้านภัยไซเบอร์ของบุคลากร (Personnel Security Assessment) ด้วยการส่งอีเมล์ phishing เพื่อทดสอบความเข้าใจของพนักงานรวมถึงมีการอบรมสั้น ๆ ประกอบการทดสอบนี้
  2. กระบวนการและดำเนินงานขององค์กร (Process and Organization’s Operations) มีการเปรียบเทียบโอเปอร์เรชันองค์กรกับมาตรฐานต่าง ๆ เช่น ISO27001 โดยดูว่ามีกระบวนการ Remote Working ที่ถูกต้องหรือไม่
  3. การตรวจสอบความปลอดภัยทางเทคโนโลยีที่องค์กรใช้งาน มีการทดสอบค่าติดตั้งต่าง ๆ ของอุปกรณ์ ตรวจสอบช่องโหว่ รวมไปถึงการจำลองด้วยว่าหากแฮกเกอร์หรือไวรัสเข้ามาจริงๆ เราจะรับมือได้ดีมากน้อยเพียงใด

นอกจากนี้ ในยุคการทำงานรูปแบบ Remote Working ตัวช่วยสำคัญที่มาควบคู่กัน คือการใช้ลายเซ็นดิจิทัล (Digital Signature) ที่จะมาปรับแทนลายเซ็นปกติได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย นำมาประยุกต์ใช้กับกระบวนการต่าง ๆ ในองค์กรได้ในหลาย ๆ มุมมอง ทั้งการเซ็นสัญญาต่าง ๆ เอกสารจัดซื้อ เอกสารงานบุคคล หรือใบแจ้งหนี้ต่าง ๆ ผ่านระบบที่ปลอดภัย เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการทำธุรกรรมดิจิทัล ลดต้นทุน ปรับปรุงบริการ และเร่งการบริหารงานด้านเอกสารให้รวดเร็วขึ้น จากการอนุมัติเอกสารที่ทำได้ทุกที่ ทุกเวลา จากทุกอุปกรณ์ บนระบบที่มีความปลอดภัยสูงสุด เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดของกระบวนการทำงานในยุคของ New normal นายฮาระ กล่าวทิ้งท้าย

Latest articles

“เชลล์แชมเปียนส์ลีก ชิงแชมป์สามช่างยนต์ระดับประเทศ ปีที่ 2”

“เชลล์แชมเปียนส์ลีก ชิงแชมป์สามช่างยนต์ระดับประเทศ ปีที่ 2” ดันช่างยนต์ไทยสู่เวทีโลก ผนึกกำลังกรมพัฒนาฝีมือแรงงานยกระดับมาตรฐานฝีมือแรงงานไทย

มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย.จัดกิจกรรม “Ultimate Marketing Plan Contest 2025”

มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. ร่วมกับ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา จัดกิจกรรม “Ultimate Marketing Plan Contest 2025” สร้างนักการตลาดรุ่นใหม่ ต่อเนื่องเป็นปีที่...

ยัวซ่าแบตเตอรี่ ฉลอง 2,600 วันแห่งความปลอดภัย ปักหมุดองค์กรต้นแบบ Zero Accident

บริษัท ยัวซ่าแบตเตอรี่ ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) เดินหน้าสร้างมาตรฐานด้านความปลอดภัย (Safety First) จนประสบความสำเร็จในโครงการ Zero Accident 2,600 วัน แห่งวัฒนธรรม “ปลอดภัยอย่างยั่งยืน”

PTG ผนึก รพ.ศิริราช จัดโครงการ “บริจาคโลหิต ให้เลือด ให้ชีวิต เพื่อคนไทย อยู่ดีมีสุข”

PTG ผนึก รพ.ศิริราช จัดโครงการ “บริจาคโลหิต ให้เลือด ให้ชีวิต เพื่อคนไทย อยู่ดีมีสุข #1” สร้างปรากฏการณ์ใหม่ครั้งแรกในไทย ผ่าน 'PTG Social Innovation' ใช้สถานีบริการน้ำมันเป็นศูนย์รับบริจาคโลหิต แก้ปัญหาเลือดขาดแคลนอย่างยั่งยืน

More like this