เผยผลวิจัย ฟื้นฟูสมองเด็กในพื้นที่เสี่ยงสารโลหะหนัก

Published on

เด็กไทยขอบคุณรัฐบาล 3 ปีภายหลังการระงับเหมือง สารหนูในตัวเด็กลดลงถึง 12 เท่าตัว ความบกพร่องทางการเรียนรู้น้อยลง ภายหลังโปรแกรมการฟื้นฟู พบว่า ระดับสติปัญญา ทักษะการเรียนรู้ และความรู้เท่าทันต่อการป้องกันสารพิษจากสิ่งแวดล้อมด้วยตัวเองของเด็กเพิ่มสูงขึ้น

สืบเนื่องจากปี 2558 ที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ได้รับการร้องเรียนจากประชาชนในพื้นที่รอยต่อ 3 จังหวัดรอบการประกอบกิจการเหมืองทอง ซึ่งต่อมาได้ทำการตรวจพบสารหนูในร่างกายของเด็กและผู้ใหญ่ในปริมาณสูง ในปี 2559 คณะรัฐบาลมีมติให้ระงับการประกอบกิจการเหมืองทอง และให้กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้การดูแลสุขภาพประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ ศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยในเด็ก คณะแพทยศาสตร์ รามาธิบดี ได้ร่วมกับสำนักโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข ได้ทำการประเมินภาวะสารหนู ระดับไอคิว และภาวะการบกพร่องทางการเรียนรู้ในเด็กนักเรียนประถมศึกษาชั้นปีที่ 4-6 ของ 6 โรงเรียน ที่อยู่ในพื้นที่รอบๆเหมือง พบว่าร้อยละ 36.1 มีสารหนูในร่างกายสูงกว่าปกติ, ร้อยละ 38.4 มีไอคิวต่ำกว่า 90 ในเด็กที่ไอคิวมากกว่าหรือเท่ากับ 90 มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ ร้อยละ 38.9 ทั้งนี้ มีการศึกษาในต่างประเทศพบว่าเด็กเมื่อได้รับสารหนูเข้าสู่ร่างกาย จะส่งผลให้มีไอคิวต่ำลง และมีความบกพร่องทางการเรียนได้ ซึ่งในพื้นที่รอยต่อ 3 จังหวัดนี้ยังมีข้อถกเถียงกันว่าค่าสารหนูนี้สูงมาก่อนนานแล้วก่อนการประกอบกิจการเหมืองหรือไม่ ?

ในปี 2562 สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ติดตามสถานการณ์ระดับสารหนู ไอคิว และความบกพร่องทางการเรียนรู้คิดในเด็กอีกครั้งในบริเวณพื้นที่เดิม โดยการสนับสนุนของสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ภายใต้โครงการวิจัยเพื่อติดตามผลกระทบจากสารโลหะหนัก และฟื้นฟูภาวะบกพร่องทางสติปัญญา กระบวนการรู้คิด และการเรียนรู้ในเด็กประถมศึกษาปีที่ 4-6 ผลพบว่า สัดส่วนของการมีสารหนูสูงกว่าปกติในร่างกายของเด็กของ 6 โรงเรียนเดิม ลดลงจากร้อยละ 36.1 เหลือร้อยละ 4.5 ลดลง 12 เท่า เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2559 เป็นการลดลงในทุกโรงเรียน ทุกชั้นปี และทุกเพศ ขณะที่เด็กที่ไอคิวมากกว่าหรือเท่ากับ 90 มีความบกพร่องทางการเรียนรู้น้อยลงจากร้อยละ 38.9 เป็นร้อยละ 22.22 และโครงการได้ฟื้นฟูเด็กที่พบความบกพร่องด้านสติปัญญาและการเรียนต่อเนื่องเป็นเวลา 1 ภาคการศึกษา

พบว่าเด็กที่ได้รับการฟื้นฟู มีทักษะการอ่านคำ สะกดคำ เข้าใจประโยค และคณิตศาสตร์เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ในการประเมินระดับสติปัญญา พบว่ามีคะแนนเฉลี่ยของระดับสติปัญญาที่ 85.43 คะแนน ซึ่งอยู่ในระดับสติปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ย แต่หลังการฟื้นฟูพบว่า เด็กมีคะแนนเฉลี่ยของระดับสติปัญญาสูงขึ้น ที่ 90.11 คะแนน ซึ่งอยู่ในระดับสติปัญญาปกติ ความสามารถทักษะการคิดเชิงบริหารของเด็กอยู่ในระดับปกติเพิ่มขึ้นทั้งด้านความจำที่ทำได้ถูกต้อง ด้านสมาธิจดจ่อ และตอบสนองในงานที่ทำเร็วขึ้น นอกจากนั้น พบว่าเด็กมีความรู้เท่าทันในการป้องกันตนเองจากสารพิษในสิ่งแวดล้อมมากขึ้นหลังฟื้นฟู จากระดับน้อย เป็น ปานกลางที่ร้อยละ 41.9 อีกด้วย จะเห็นว่าความบกพร่องต่างๆหากเด็กได้รับการฟื้นฟูอย่างทันท่วงที และจริงจัง โดยครูและบุคคลแวดล้อม ย่อมส่งผลให้เด็กมีทักษะด้านการเรียนรู้ คิด และสติปัญญา ที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน

รศ.นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ และนักวิจัยทุกท่านของสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า “ก่อนหน้านี้เราได้รับข้อมูลว่าสารหนูอยู่ในดินชั้นลึกของบริเวณละแวกนี้มานานแล้ว แต่ 3 ปีก่อนที่เราพบสารหนูในร่างกายเด็กๆ เราไม่รู้แน่ชัดว่าสารหนูที่สูงในเด็กมาจากการประกอบการใดที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมจนสารหนูสามารถเข้าสู่ตัวเด็กๆ หรือจริงๆแล้วเป็นสิ่งที่อยู่ในร่างกายเด็กๆทุกรุ่นทุกสมัยอยู่แล้ว แต่วันนี้เราพบว่าความเสี่ยงต่อการได้รับสารหนูในระดับที่เป็นอันตรายต่อร่างกายลดลงกว่า 12 เท่าตัว ภายใน 3 ปีหลังจากมีการจัดการสิ่งแวดล้อมให้เปลี่ยนแปลง วอนตระหนักทุกฝ่าย หากจะให้มีการประกอบการใดที่อาจทำให้สิ่งแวดล้อมกลับมาที่จุดเดิม ขอให้โปรดทำการประเมินให้ถ้วนถี่ ว่าการประกอบการนั้นจะไม่ทำให้มีความเสี่ยงต่อการได้รับสารหนูในเด็กๆกลับมาอีก รัฐบาลต้องทบทวนให้ดีว่าจะมีมาตรการที่จะป้องกันสารพิษจากโลหะหนักกับเด็กและชุมชนโดยรอบอย่างมีประสิทธิภาพได้อย่างไรไม่ให้ผลกระทบหวนกลับมาอีก รวมทั้งมีวิธีการควบคุมที่เข้มข้นยิ่งกว่าเดิม ส่วนเด็กๆ ที่ได้รับผลกระทบจากสารพิษก็ยังจำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือฟื้นฟูกันอยู่ต่อไปในระยะยาว”

นอกจากนั้นภาครัฐควรมีมาตรการช่วยเหลือครอบครัวหลังระงับการประกอบกิจการ ทั้งการจัดหางานให้ครอบครัวให้มีเศรษฐฐานะที่ดี ที่จะดูแลครอบครัวโดยเฉพาะส่งเสริมลูกให้เติบโตเต็มตามศักยภาพ ส่งผลให้ไม่ก่อให้เกิดปัญหาด้านสังคมอื่นๆตามมา

นพ.นพพร ชื่นกลิ่น ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) กล่าวว่า “โครงการวิจัยฯ ดังกล่าวนี้ เป็น 1 ในงานวิจัยภายใต้แผนงานวิจัยการปฏิรูปสุขภาวะและการพัฒนาเด็กในศตวรรษที่ 21 และยุทธศาสตร์การศึกษาของชาติ ที่เน้นการพัฒนาศักยภาพเด็กไทยทุกคนให้มีทักษะในศตวรรษที่ 21 คือ มีความคิดสร้างสรรค์, ปรับตัวได้ดี, ทำงานร่วมกับคนอื่นได้, มีคุณธรรม และเป็นพลเมืองที่ดี ทั้งนี้ เพื่อสร้างความรู้ ลดช่องว่างและป้องกันปัญหาเด็กและเยาวชนที่จะทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นในอนาคต และรองรับการเปลี่ยนแปลงของสังคม

ความสำคัญของเรื่องนี้จากประเด็นสารพิษหรือโลหะหนักที่ปนเปื้อนไปกับห่วงโซ่อาหารและสิ่งแวดล้อมนั้น จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพกับทุกเพศทุกวัยและส่งผลต่อการเจ็บป่วยด้วยโรคต่างๆ เมื่อได้รับสารสัมผัสในปริมาณที่สูงหรือเรื้อรัง โดยเฉพาะเด็กจะมีความเสี่ยงต่อการได้รับมากกว่าผู้ใหญ่ 5 เท่า โดยข้อมูลทางวิชาการและการแพทย์พบว่า เด็กที่ได้รับสารโลหะหนักแบบเฉียบพลันหรือเรื้อรังจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพในด้านต่างๆ รวมทั้งมีความเสี่ยงต่อความบกพร่องทางการเรียนรู้ และระดับความสามารถทางสติปัญญา”

นพ.นพพร กล่าวต่อไปว่า ผลของโครงการแสดงถึงสถานการณ์การปนเปื้อนโลหะในพื้นที่เสี่ยงและมีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพเด็กและชุมชนต่อเนื่อง แต่หากมีการจัดการและลดปัจจัยเสี่ยงด้านการปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะการจัดทำแนวทางหรือคู่มือการเฝ้าระวังสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ เพื่อประยุกต์ใช้ในการดำเนินการเฝ้าระวัง เตือนภัย และสื่อสารสาธารณะ ให้เหมาะสมกับสภาพปัญหาในพื้นที่ จะสามารถช่วยจัดการและแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพในพื้นที่เสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะเป็นไปตามเป้าประสงค์ของแผนยุทธศาสตร์อนามัยและสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (2560-2564) กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

ผู้อำนวยการ สวรส. กล่าวปิดท้ายว่า การเผยแพร่ขยายผลการวิจัยในวงกว้างให้เกิดเป็นนโยบายหรือแนวทางปฏิบัติเป็นเรื่องสำคัญ โดย สวรส. จะสนับสนุนการขับเคลื่อนส่งต่อไปยังผู้กำหนดนโยบายและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยสาระสำคัญของข้อเสนอเชิงนโยบายเรื่องนี้คือ การทำงานตรวจสอบระดับสารหนูในสภาพแวดล้อม ดิน น้ำ อาหาร อย่างสม่ำเสมอและรายงานผลแก่สาธารณะ, จัดและปรับปรุงสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยสำหรับเด็กจากสารพิษต่างๆ, จัดหาพื้นที่เล่น/เรียนรู้ในชุมชนแก่เด็กและครอบครัวที่เอื้อต่อการพัฒนาทักษะสติปัญญา การเรียนรู้และรู้เท่าทันตนเอง, พัฒนาศักยภาพผู้ปกครองในการเลี้ยงดูเด็ก, พัฒนาศักยภาพครู, ดำเนินนโยบายแบบเฝ้าระวังเพื่อลดความเสี่ยง เช่น การประเมินผลกระทบเพื่อนำไปสู่การดูแลแก้ไขที่ทันท่วงที ตรงจุดและมีประสิทธิภาพ, เฝ้าระวังและค้นหาแหล่งกำเนิดสารพิษอื่นๆในสิ่งแวดล้อม และทำการปรับปรุงแก้ไขการกระจายจากแหล่งนั้นๆ รวมทั้งการประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนการพัฒนาระบบและกลไกการทำงานบูรณาการร่วมกันระหว่างครอบครัว ชุมชน โรงเรียน หน่วยงานด้านสาธารณสุขและหน่วยงานการศึกษาในพื้นที่ ทั้งนี้ เพื่อสุขภาวะที่ดีของเด็กและชุมชน และการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพของเยาวชนไทยต่อไป

Latest articles

LPP ยืนยันกว่า 260 โครงการปลอดภัย หลังเหตุแผ่นดินไหว นอกชายฝั่งเมียนมา

บริษัท แอล พี พี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด หรือ LPP เปิดเผยว่า จากเหตุการณ์แผ่นดินไหว ขนาด 5.4 แมกนิจูด บริเวณนอกชายฝั่งประเทศเมียนมาล่าสุด แรงสั่นสะเทือนสามารถรับรู้ได้ถึงพื้นที่ใกล้เคียง และอาคารสูงบางแห่งในกรุงเทพมหานคร LPP จึงได้เร่งดำเนินการตรวจสอบสภาพอาคารเบื้องต้นในทุกโครงการที่บริหารจัดการทันที ตามมาตรการดูแลความปลอดภัยที่ LPP กำหนดไว้จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อ 28 มี.ค.ที่ผ่านมา

เนสท์เล่ เดินหน้าขับเคลื่อนการกินอยู่อย่างสมดุล ส่งแคมเปญชวนคนไทย “กินได้ กินดี”

บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด สานต่อความมุ่งมั่นในการส่งเสริมการกินอยู่อย่างสมดุล ผ่านแคมเปญสื่อสารครบวงจร “กินได้ กินดี อร่อยและบาลานซ์ แข็งแรงอย่างยั่งยืน” จุดประกายให้คนไทยบาลานซ์การกิน ให้ตอบโจทย์ทั้งความสุขกับอาหารที่ชอบและประโยชน์ต่อสุขภาพ เพื่อสุขภาพที่ดีอย่างยั่งยืน ลดความเสี่ยงของการเกิดโรค...

ชวนเวิร์กช็อป The Marbling Art: การเดินทางของสีและสายน้ำ โดย เมธาสิทธิ์ บุญเอกบุศย์

TCDC ขอเชิญผู้ที่สนใจร่วมกิจกรรมเวิร์กช็อป The Marbling Art โดย เมธาสิทธิ์ บุญเอกบุศย์ (Metasit Bunaikbuth) ศิลปินภาพพิมพ์ร่วมสมัยซึ่งเชี่ยวชาญในศาสตร์ Marbling Art

แปรงเก่าสะสมเชื้อโรค! ไลอ้อน จุดกระแส “เปลี่ยนแปรงให้เร็วขึ้น” ไม่ต้องรอ 3 เดือน

Systema ตอกย้ำบทบาทผู้นำนวัตกรรมแปรงสีฟัน ด้วยแคมเปญ “เปลี่ยนแปรงให้เร็วขึ้น” ไม่ต้องรอครบ 3 เดือน ชูความเสี่ยงของแปรงเก่าต่อสุขภาพช่องปาก

More like this