ถึงเวลา…ยุติปัญหาโรค NCDs โรคร้ายที่เราสร้างเอง

Published on

โรค NCDs (Non-communicable diseases) คือโรคที่ไม่ติดต่อเรื้อรังที่จะค่อยๆ แสดงอาการและทวีความรุนแรงขึ้น และเกิดเป็นอาการเรื้อรัง เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจและโรคหลอดเลือดสมอง โรคมะเร็ง โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรคเบาหวาน และโรคจิตเวช ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องจะทำให้เกิดความทุพพลภาพและการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ซึ่งล่าสุด บริษัท อัพจอห์น (ประเทศไทย) จำกัด ได้จัดงาน “Upjohn Day” เพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ในการรักษาโรค NCDs ของบุคลากรทางการแพทย์และผู้เชี่ยวชาญ

ศ.เกียรติคุณ นพ.อภิชาต สุคนธสรรพ์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาล ผู้อำนวยการแผนกอายุรกรรม และหัวหน้าศูนย์โรคหัวใจ โรงพยาบาลกรุงเทพเชียงใหม่ กล่าวว่า โรค NCDs เกิดจากการมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ผิดปกติ การทานอาหารไม่ถูกวิธี การเพิ่มน้ำหนักตัว ความเครียด รวมทั้งการเปลี่ยนวิถีชีวิตจากคนชนบทเป็นคนเมือง ซึ่งมีการศึกษาว่า การย้ายถิ่นฐานเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของการเป็นโรค NCDs ในไทย ภาวะที่น้ำหนักตัวเพิ่มมากขึ้นนำไปสู่การเกิดเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ภาวะไขมันเลือดผิดปกติ จากปัจจัยเหล่านี้ ทำให้เกิดภาวะที่หลอดเลือดแข็งตัวและนำไปสู่โรคหลอดเลือดสมอง โรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคที่เกี่ยวข้องกับเลือดที่ไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายโดยเฉพาะแขนขา ทำให้เป็นอัมพาตและเสียชีวิต

“ในอนาคตอันใกล้ โรค NCDs จะเพิ่มมากขึ้นอย่างแน่นอน ถ้าเราไม่ได้แก้ที่ปัจจัยต้นเหตุ ที่ผ่านมาประเทศไทยยังไม่สามารถหยุดยั้งความชุกของโรคได้ แม้ว่าจะมีการรณรงค์ต่างๆ ของภาครัฐและเอกชน เช่น รณรงค์ไม่ให้อ้วนเกินไป การลดรอบพุง การทานเกลือให้น้อยลงเพื่อควบคุมความดันโลหิต การรับประทานอาหารให้ถูกวิธี การรณรงค์งดสูบบุหรี่เพราะการสูบบุหรี่เป็นสิ่งเสริมทำให้หลอดเลือดแข็งตัวเร็วขึ้น การรณรงค์หลายอย่างประสบความสำเร็จ แต่ยากที่จะให้คนทั่วไปปฏิบัติตาม เพราะเป็นเรื่องของปัจเจกบุคคล โรค NCDs จึงนับเป็นปัญหาสำคัญของประเทศไทย”

ศ.เกียรติคุณ นพ.อภิชาต กล่าวต่อไปว่า โรค NCDs อย่างเช่น โรคหลอดเลือดหัวใจและโรคหลอดเลือดสมองจะใช้เวลาในการแสดงอาการช้าๆ ช่วง 5-10 ปี แต่เป็นโรคที่มีค่าใช้จ่ายในการรักษาสูง อีกทั้งผู้คนที่เคยมีชีวิตปกติเมื่อป่วยเป็นโรคนี้ทำให้เกิดเป็นอัมพาตจนไม่สามารถกลับไปทำงานได้ ทำให้เกิดการสูญเสียในรายบุคคลและมีผลต่อการสร้างรายได้สู่ครอบครัวและสังคม ส่งผลกระทบต่อภาครัฐและภาคเอกชน ตลอดจนเป็นภาระของภาครัฐในอนาคต ซึ่งภาครัฐต้องจัดหางบประมาณรองรับเพราะการป้องกันและการรักษาเป็นเรื่องจำเป็น

“สำหรับแนวทางการรักษาโรคที่ถูกต้อง คือ การใช้ยาและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเราเอง ซึ่งจะต้องได้รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญหรือสมาคมวิชาชีพ กระทรวงสาธารณสุข หรือข้อมูลด้านสุขภาพจากองค์กรที่น่าเชื่อถือ ไม่ควรรับประทานยารักษาเอง เพราะหลายคนได้รับข้อมูลที่ผิดและใช้ยารักษาโรคบางอย่างที่ไม่ตรงตามที่แพทย์แนะนำ ซึ่งเป็นอันตรายต่อผู้ป่วย” ศ.เกียรติคุณ นพ.อภิชาต กล่าว

นพ. ธรณินทร์ กองสุข

สำหรับโรคจิตเวชซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มโรคหลักของโรค NCDs นพ. ธรณินทร์ กองสุข ผู้อำนวยการสถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา กล่าวว่า ปัญหาสุขภาพจิตเป็นปัญหาที่แทรกอยู่กับโรคทางกายแทบทุกโรค และมีจำนวนหนึ่งที่เกิดเองโดยไม่เกี่ยวกับโรคทางกาย ซึ่งความเจ็บป่วยทางจิตเวชหรือปัญหาสุขภาพจิตส่งผลต่อสุขภาพของคนไทยอย่างมาก โดยโรคซึมเศร้าเป็นโรคก่อให้เกิดการสูญเสียเป็นลำดับ 3 รองจากโรคเบาหวานและโรคหลอดเลือดที่เกิดกับคนไทย จึงเป็นโรคที่ต้องให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหา เนื่องจากผู้ป่วยโรคซึมเศร้าที่มีอาการรุนแรงจะเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย โดยจากการศึกษาพบว่า คนไทยตั้งแต่อายุ 15 ปีขึ้นไปป่วยเป็นโรคซึมเศร้าประมาณ 1.5 ล้านคนและมีผู้ป่วยจำนวนประมาณ 10-15% ที่เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตาย

“ช่วงแรกคนไม่เข้าใจว่าโรคซึมเศร้าเป็นโรค เข้าใจว่าการสูญเสียคนรัก ทำให้มีอารมณ์เศร้าเป็นธรรมดา อารมณ์เศร้าเป็นอารมณ์ปกติของคน จึงไม่ใส่ใจ แต่กว่าจะรู้ตัว คนนั้นก็เสียชีวิตเพราะฆ่าตัวตายจากโรคซึมเศร้าแล้ว อีกทั้งเมื่อ 10 ปีก่อน การรักษาโรคซึมเศร้ายังไม่ขยายไปถึงโรงพยาบาลชุมชน ปัจจุบันสถานการณ์ดีขึ้น วิวัฒนาการการรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น อัตราการเข้าถึงบริการเพิ่มขึ้น จึงป้องกันการเป็นโรคซ้ำและป้องกันกันฆ่าตัวตาย โดยผู้ป่วยในระบบการรักษาจะมีอัตราการฆ่าตัวตายน้อยลงประมาณ 0.1% หรือทั้งปีมีการฆ่าตัวตาย 1 คนหรือไม่มีเลย ขณะที่ผู้ป่วยที่ไม่อยู่ในระบบการรักษาจะมีอัตราการฆ่าตัวตายประมาณ 10-15%”

“การรักษาโรคซึมเศร้าที่ดีที่สุด ณ ขณะนี้ คือ การใช้ยาต้านเศร้าร่วมกับจิตบำบัด เพื่อแก้ไขปรับความคิดและพฤติกรรมของผู้ป่วยโรคซึมเศร้า ซึ่งโรคซึมเศร้าสามารถหายได้ โดย 35% ที่ทานยาแล้วหาย แต่มีประมาณ 50% ที่เป็นโรคซึมเศร้ามากกว่าหนึ่งครั้งในชีวิต เพราะโรคนี้ต้องได้รับการรักษาต่อเนื่อง ผู้ป่วยจะต้องกินยาติดต่อกันประมาณ 6-9 เดือน แต่ปัญหาคือ การทานยาไม่ครบทำให้กลับเป็นซ้ำได้ ประชาชนที่มีปัญหาสุขภาพจิต เครียด ไม่สบายใจ อย่าลังเลที่จะมารักษา สามารถโทรสายด่วนได้ตลอด 24 ชั่วโมงหรือไปโรงพยาบาลชุมชนหรือโรงพยาบาลจิตเวชเพื่อปรึกษาได้” ผู้อำนวยการสถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยากล่าวทิ้งท้าย

โรค NCDs เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตของคนไทยประมาณ 350,000 คนต่อปี หรือ หรือเทียบเท่าคนไทย 1,000 คนเสียชีวิตด้วยโรค NCDs ในแต่ละวัน ทั้งที่โรค NCDs สามารถป้องกันได้ จึงถึงเวลาที่เราควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและการดำเนินชีวิตให้ถูกต้อง เช่น การกินอาหารให้ถูกสุขลักษณะ ไม่สูบบุหรี่และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แบบอันตราย ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งจะช่วยลดอัตราผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตที่ต้นเหตุ และแก้ไขปัญหาโรค NCDs ที่เป็นภัยเงียบคร่าชีวิตคนไทยได้อย่างยั่งยืน

Latest articles

ECONMASS จัดอบรม “PERSONA CONFIDENCE By WACOAL X COVERMARK” ให้สมาชิกฯ

สมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ร่วมกับ บริษัท ไทยวาโก้ จำกัด (มหาชน) และ คัฟเวอร์มาร์ค (COVERMARK) จัดกิจกรรมอบรม “PERSONA CONFIDENCE By WACOAL X COVERMARK” ให้แก่สมาชิกสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ

“Lamborghini Fenomeno” เปิดตัว ซูเปอร์สปอร์ตคาร์ลิมิเต็ดอิดิชั่น 29 คันทั่วโลก

ออโตโมบิลี ลัมโบร์กินี (Automobili Lamborghini) ภูมิใจเสนอ “Fenomeno” สุดยอดซูเปอร์สปอร์ตคาร์ ลิมิเต็ดอิดิชั่นรุ่นล่าสุด ที่ผลิตจำกัดเพียง 29 คันทั่วโลก และมาพร้อมเครื่องยนต์ V12 ที่ทรงพลังที่สุดในประวัติศาสตร์ของลัมโบร์กินี เปิดตัวอย่างเป็นทางการที่มหกรรมยานยนต์สุดยิ่งใหญ่ Monterey Car Week 2025

ผลการศึกษาของ ABB ระบุว่า การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานของประเทศไทยเติบโตอย่างรวดเร็ว

เอบีบี เผยผลสำรวจดัชนีความพร้อมการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกประจำปี 2025 พบว่าไทยมีความพร้อมและมีบทบาทเป็นผู้นำอย่างชัดเจน ในการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานของโลก เห็นได้จากผู้นำด้านการใช้พลังงานที่ตอบแบบสำรวจมากถึง 80 เปอร์เซ็นต์ ขณะแผนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานของตนยังคงเดินหน้า แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์ของโลก เป็นสัญญาณที่แสดงถึงเสถียรภาพของกลยุทธ์ด้านนี้อย่างชัดเจน

BLC นำทัพสมุนไพรนวัตกรรม “ไพลวาน่า” โชว์ศักยภาพในงาน World Expo 2025

‘บมจ. บางกอกแล็ป แอนด์ คอสเมติค หรือ BLC’ โชว์ศักยภาพสมุนไพรไทยสู่สากลในงาน World Expo 2025 ณ เมืองโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น ชูผลิตภัณฑ์เรือธง Thai Inno-Herbal แบรนด์ “ไพลวาน่า” ครีมสมุนไพรที่พัฒนาจากเหง้าไพล ด้วยการบูรณาการภูมิปัญญาไทยสู่ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการยอมรับทางวิทยาศาสตร์

More like this