TMB Analytics คาดบาทแข็งผันผวนต่อเนื่อง แนะธุรกิจตั้งรับก่อนกำไรหด

Published on

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบี หรือ TMB Analytics คาดกำไรของธุรกิจส่งออกหดหายถึง 6.6 หมื่นล้านบาท ผลจากทิศทางการแข็งค่าของเงินบาทจนถึงสิ้นปี 5% ซ้ำเติมจากแนวโน้มส่งออกที่ชะลอตัวลง แนะผู้ส่งออกใช้เครื่องมือจัดการความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน

ภาพรวมมูลค่าส่งออกไทยยังคงอ่อนแออยู่ จากตัวเลขการส่งออกในช่วง 4 เดือนแรกของปีลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง -4% (ไม่รวมทองคำและอาวุธ) นอกจากนี้ธุรกิจส่งออกไทยยังคงต้องเผชิญความเสี่ยงกับความผันผวนสูงขึ้น เนื่องจากความไม่แน่นอนของทิศทางสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับประเทศคู่ค้าสำคัญต่างๆ อาทิ จีน ยุโรป ฯลฯ และความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์โลกที่อยู่ในระดับสูง ขณะที่การเปลี่ยนท่าทีของธนาคารกลางหลัก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ยูโรโซน และญี่ปุ่น มีแนวโน้มไปในทางผ่อนคลายมากขึ้น กอรปกับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ยังเข้ามาในไทยต่อเนื่อง ประเมินว่าจะเป็นปัจจัยหนุนให้ค่าเงินบาทแข็งค่า ส่งผลให้สิ้นปี 2562 คาดการณ์ว่าอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทอยู่ที่ 31.2 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ หรือแข็งค่า 5% จากปลายปี 2561

จากปัจจัยกดดันดังกล่าว นอกจากจะส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยแล้ว ในระดับธุรกิจเองก็ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน ซึ่งผลกระทบจะมากหรือน้อยจะขึ้นอยู่กับประเภทธุรกิจ ทั้งนี้ ศูนย์วิเคราะห์ฯ ทำการประเมินผลกระทบของค่าเงินบาทต่อรายได้ของธุรกิจไทย โดยสรุปแล้วทั้งปี 2562 ค่าเงินบาทที่แข็งขึ้น 5% จะทำให้อัตรากำไรขั้นต้น (Gross profit margin) ของผู้ประกอบการเปลี่ยนแปลงไปจากปกติ -3.2% ไปถึง +4.9% หรือคิดเป็นกำไรที่หายไปประมาณ 1.7 หมื่นล้านบาท (ตามรูป) ซึ่งแยกผลกระทบค่าเงินต่อธุรกิจออกเป็น 3 กลุ่มหลักๆ ได้แก่

1.ธุรกิจที่เสียประโยชน์ พบว่าธุรกิจที่พึ่งพารายได้จากการส่งออกและใช้วัตถุดิบภายในประเทศเป็นหลัก จะได้ผลกระทบมากที่สุดจาก ทำให้รายได้ผู้ประกอบการหายไปกว่า 6.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งกระทบต่ออัตรากำไรขั้นต้น ลดลงจากระดับปกติ 0.3 – 3.2% กลุ่มธุรกิจที่ถูกกระทบมากที่สุด ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ยางพารา อาหารทะเล เนื้อสัตว์ และเครื่องประดับ

2.กลุ่มที่ได้รับผลประโยชน์ คือ ธุรกิจขายในประเทศและนำเข้าวัตถุดิบเป็นหลัก ค่าเงินบาทแข็งค่าจะทำให้ค่าใช้จ่ายจากการนำเข้าสินค้าหรือวัตถุดิบที่เป็นเงินต่างประเทศน้อยลง 6.2 หมื่นล้านบาท และส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้น เพิ่มขึ้นจากระดับปกติกว่า 0.3-4.9% ธุรกิจที่ได้รับประโยชน์ ได้แก่ เครื่องจักร/ชิ้นส่วน เหล็ก/โลหะ เวชภัณฑ์/เครื่องมือการแพทย์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าและสิ่งทอต่างๆ

3.กลุ่มที่ไม่ได้รับผลกระทบ คือ ธุรกิจที่พึ่งพารายได้จากการส่งออก แต่มีการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศมาผลิต ซึ่งทำให้ธุรกิจสามารถป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนด้วยลักษณะของตัวธุรกิจเอง(Natural Hedging) กลุ่มธุรกิจดังกล่าว ได้แก่ ชิ้นส่วนรถยนต์ เครื่องดื่ม และเคมีภัณฑ์

กล่าวโดยสรุป ทิศทางค่าเงินบาทที่แข็งค่าในปีนี้ จะสร้างแรงกดดันต่อธุรกิจที่ต้องพึ่งพารายได้จากการส่งออกที่ต้องใช้วัตถุดิบในประเทศเป็นหลัก โดยเฉพาะสินค้าที่เกี่ยวข้องกับภาคการเกษตร ซึ่งได้รับผลกระทบจากปัญหาอื่นๆที่รุมเร้าอยู่แล้ว เช่น ระดับราคาสินค้าที่อยู่ในระดับต่ำ ตลาดโลกซบเซา การแข่งขันจากประเทศอื่น มีความจำเป็นที่ผู้ประกอบการต้องปรับเปลี่ยนหรือเพิ่มทางเลือกในการดำเนินธุรกิจ ตั้งแต่เรื่องเปิดตลาดใหม่ๆ ทำผลิตภัณฑ์สินค้าที่มีมูลค่าเพิ่ม จนไปถึงการใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้ธุรกิจสามารถรักษาศักยภาพการทำกำไร และยังคงมีความสามารถในการแข่งขันกับต่างประเทศต่อไป

Latest articles

เผยเทรนด์ฮิตปลายปี 68 กลุ่ม Gen Y – Gen Z ชอบรวมกลุ่มเข้าป่า ส่งสินค้ากลางแจ้งยอดพุ่ง

เผยเทรนด์ฮิตปลายปี 68 กลุ่ม Gen Y – Gen Z  กิจกรรมกลางแจ้ง รวมกลุ่มเข้าป่า ตั้งแคมป์ ให้ธรรมชาติฮีลใจ”ดีแคทลอน ตอบรับกระแสปลายปี เปิดสาขาใหม่ บางกะปิ ด้วยกลยุทธ์ “Bring Sport Closer to People”

ซีเล็ค x เด็กสมบูรณ์ เปิดตัว “ปลาทูน่านึ่งซีอิ๊ว” ชู SMART PROTEIN สะดวกดีต่อสุขภาพ

ซีเล็ค x เด็กสมบูรณ์ เปิดตัว “ปลาทูน่านึ่งซีอิ๊ว” ชู SMART PROTEIN สะดวกดีต่อสุขภาพ คู่ความอร่อยคูณสองแบบต้นตำรับ 

SABINA จัดแคมเปญโปรโมชั่น 11.11 ดีลแรง กระตุ้นยอดขายไตรมาสสุดท้าย

“ซาบีน่า” จัดแคมเปญโปรโมชั่นเอาใจเหล่านักช้อป “11.11 สิ้นสุดการรอคอยน์ ซาบีน่าลดให้เลย 1,111 บาท” เมื่อช้อปสินค้าครบ 2,500 บาท

 เปิดตัว Canon EOS R6 Mark III ความละเอียด 32.5 ล้านพิกเซล รองรับวิดีโอแบบ Open Gate

EOS R6 Mark III เปิดมาตรฐานใหม่แห่งการสร้างสรรค์ ด้วยความละเอียดภาพ 32.5 ล้านพิกเซล บันทึกวิดีโอไฟล์ RAW 7K 60p และรองรับการถ่ายวิดีโอแบบ Open Gate

More like this